Page 37 - ทฤษฎีและการวิจารณ์ภาพยนตร์
P. 37
สนุ ทรียศาสตร์ของภาพยนตร์ 1-27
อังเดร บาแซง (Andre Bazin) นักทฤษฎีแนวสัจนิยม ผู้มีช่ือเสียงอีกท่านหนึ่งเคยกล่าวไว้ว่า คุณค่าของ
ภาพยนตรไ์ มไ่ ดข้ น้ึ อยกู่ บั การเสรมิ แตง่ “ความจรงิ ” แตเ่ ปน็ การเปดิ เผยความจรงิ ออกมาตา่ งหาก (Cook
& Bernink, 1999, p. 339)
ดว้ ยเหตนุ ี้ บาแซงจงึ ไมน่ ยิ มการใชเ้ ทคนคิ การตดั ตอ่ แบบมองทาจ (montage) ซงึ่ เปน็ การนำ� ภาพ
มาตดั ตอ่ เรียงร้อยเข้าด้วยกันเพ่ือสรา้ งความหมายใหม่ แตจ่ ะยกย่องผลงานของผู้กำ� กบั เช่น Erich von
Stroheim, Jean Renoir และ Orson Welles ท่ีใช้เทคนิคการถ่ายท�ำแบบถา่ ยชอ็ ตยาวๆ โดยไมม่ กี าร
ตัดต่อ (long take) หรือภาพชัดลึก (deep focus) เพื่อรักษาความผสานกลมกลืนและความเท่ียงตรง
ระหว่างพ้ืนท่ีและเวลา ซ่ึงเทคนิคดังกล่าวจะไม่จ�ำกัดกรอบการรับรู้ของผู้ชมไว้เคร่งครัดนัก ผู้ชมสามารถ
เลอื กดอู งคป์ ระกอบของภาพในฉากนนั้ ๆ ไดโ้ ดยอสิ ระ กลา่ วอกี นยั หนง่ึ คอื ผชู้ มสามารถ “ตดั ตอ่ ” ภาพได้
ด้วยสายตาของตนเอง ซึ่งบาแซงอ้างว่าการกระท�ำเช่นน้ีมีความใกล้เคียงกับการรับรู้ของมนุษย์ในโลก
ความจรงิ มากท่สี ุด (Cook & Bernink, 1999, pp. 337-339)
แตข่ อ้ คดิ เหน็ ของบาแซงกม็ ผี โู้ ตแ้ ยง้ มาก สว่ นหนงึ่ เนอ่ื งมาจากการทบี่ าแซงมกั จะเพง่ เลง็ ไปทเี่ ฉพาะ
เทคนคิ ดา้ นภาพ เชน่ การถ่ายช็อตยาว และการถ่ายภาพชดั ลึก แลว้ ละเลยองค์ประกอบอนื่ ๆ ทมี่ สี ว่ นใน
การสรา้ งความหมายใหก้ บั ภาพยนตร์ เช่น เสียงและเพลงประกอบ ฉาก หรือมุมกลอ้ ง เป็นตน้
จะเห็นได้วา่ แนวคดิ เกย่ี วกบั สนุ ทรยี ศาสตรภ์ าพยนตรท์ งั้ 2 แนวทางขา้ งต้นนี้ มีความขัดแย้งกนั
มาก จนเรยี กไดว้ า่ เปน็ แนวคดิ ทต่ี อ่ ตา้ นกนั เอง เชน่ นกั ทฤษฎแี นวสจั นยิ ม อาจโจมตแี นวคดิ ของอารน์ ไฮม์
วา่ มองข้ามคณุ คา่ ของภาพยนตร์ช้นั เยย่ี มทีเ่ นน้ การบันทึกและถ่ายทอดภาพและอารมณ์ทีเ่ หมือนจริง เช่น
ภาพยนตร์ในแนวทางของสจั นิยมใหมข่ องอติ าลี (Italian neo-realism) เป็นต้น ส่วนผทู้ ่นี ยิ มภาพยนตร์
ท่ีถ่ายทอดความเป็นศิลปะผ่านเทคนิคและสไตล์ต่างๆ ก็อาจยกตัวอย่างภาพยนตร์ศิลปะเชิงทดลองแนว
อาวอง การด์ (avant-garde) หรอื แนวเหนอื จรงิ (surrealism) วา่ ประสบผลสำ� เรจ็ ในการสรา้ งสนุ ทรยี ภาพ
ที่ไมอ่ ิงอยบู่ นพืน้ ฐานของความเหมือนจรงิ เพียงใด
ภายหลงั วคิ เตอร์ เพอรก์ นิ ส์ (Victor Perkins) ไดพ้ ยายามผสานสองแนวคดิ นีเ้ ข้าดว้ ยกัน โดย
การต้ังมาตรฐานว่า ภาพยนตร์ท่ีดีน้ันควรจะต้องมีความสมจริง (verisimilitude) และในเวลาเดียวกัน
กจ็ ะตอ้ งมกี ารปรงุ แตง่ ดว้ ยเทคนคิ และสไตลต์ า่ งๆ เชน่ การตดั ตอ่ การออกแบบฉาก การกำ� หนดมมุ กลอ้ ง
และการเคล่ือนไหวของกล้อง การออกแบบเคร่อื งแตง่ กาย ฯลฯ ซ่งึ การปรุงแต่งเหล่านจี้ ะต้องด�ำรงอยใู่ น
ขอบเขตของความสมจรงิ หรอื ทำ� หนา้ ทส่ี รา้ งความหมายและผลกั ดนั ใหเ้ รอื่ งราวของโลกจำ� ลองในภาพยนตร์
ดำ� เนนิ ไปอย่างสอดคลอ้ งกบั ความเป็นจริงมากท่ีสุด (Perkins, 1992, pp. 52-58)
อย่างไรก็ดี แนวคิดของเพอร์กินส์ก็ประสบกับปัญหาเดียวกันกับสองแนวคิดแรก น่ันคือ การ
พยายามน�ำทัศนคติและความพึงพอใจส่วนตัวมาเป็นมาตรฐานในการตัดสินภาพยนตร์ท้ังหมด ท้ังนี้
เนอื่ งจากภาพยนตรแ์ ตล่ ะเรอ่ื งมปี จั จยั ในรายละเอยี ดทซ่ี บั ซอ้ นและแตกตา่ งกนั ออกไป ไมว่ า่ จะเปน็ บรบิ ท
ทางสงั คม วฒั นธรรม ประเพณี การเมอื ง เศรษฐกจิ และประวตั ศิ าสตร์ นอกจากน้ี การจำ� กดั ขอบเขตของ
คุณค่าทางสุนทรียศาสตร์ไว้เพียงแค่ความสมจริงเป็นการท�ำลายคุณค่าของภาพยนตร์เชิงทดลองเช่น