Page 40 - ทฤษฎีและการวิจารณ์ภาพยนตร์
P. 40

1-30 ทฤษฎีและการวิจารณ์ภาพยนตร์
       ภาพยนตร์ที่กล่าวไปข้างตน้ นี้ มักเรียกรวมๆ กนั วา่ ภาพยนตร์ศิลปะแบบยุโรป (European art

cinema) ซ่งึ เดวดิ บอรด์ เวลล์ (David Bordwell) ใหค้ �ำอธิบายถงึ ลักษณะของภาพยนตร์ศลิ ปะไวด้ ังนี้
ในแง่ของเน้ือหา ภาพยนตร์ศิลปะมักเกี่ยวข้องกับปัญหาร่วมสมัยของคนและสังคม เช่น ความรู้สึก
แปลกแยก โดดเดย่ี วหรอื การขาดการสอ่ื สารระหวา่ งกนั เชน่ ในภาพยนตรข์ องอนั โตนโิ อนี (L’Avventura,
1959) และเบิร์กแมน (The Silence, 1963 & Persona, 1966) ส่วนในด้านของรูปแบบ การจัด
องค์ประกอบภาพของภาพยนตร์ศิลปะอาจเน้นความสมจริงของพฤติกรรมตัวละครหรือการใช้พ้ืนท่ีใน
ภาพยนตร์ เช่น การใช้นักแสดงสมัครเล่นในภาพยนตร์แบบ neo-realist หรือการใช้ภาพถ่ายช็อตยาว
เพอื่ สร้างความรู้สกึ ใหใ้ กลเ้ คยี งกบั โลกของความเปน็ จริง โดยลดการใช้เทคนคิ ตัดตอ่ ภาพทีจ่ ะมาชีน้ ำ� หรือ
จ�ำกัดกรอบมุมมองและการรับรู้ของผู้ชม (Bordwell, 1985, pp. 206-213)

       ด้วยลักษณะดังกล่าว การสร้างเร่ืองราวแบบฮอลลีวูดท่ีอิงอยู่กับบทภาพยนตร์ท่ีวางโครงสร้าง
เหตุการณ์ และพัฒนาการของเร่ืองไว้อย่างมีกรอบและทิศทางชัดเจน จึงถูกแทนท่ีด้วยเหตุการณ์ท่ีไม่มี
เหตผุ ลเชื่อมโยงกนั ชัดเจน เช่น การเล่าเรือ่ งทคี่ ลมุ เครือของ Paisá (Roberto Rossellini, 1946) หรอื
การหายตวั ไปอยา่ งไมม่ คี ำ� อธบิ ายของตวั ละครสำ� คญั ใน L’Avventura เปน็ ตน้ บางครงั้ เรอื่ งราวกพ็ ฒั นาไป
โดยใชเ้ หตบุ งั เอญิ และแทนทจี่ ะมกี ารคลคี่ ลายทกุ ปมปญั หาของเรอื่ งในตอนจบเหมอื นภาพยนตรฮ์ อลลวี ดู
ภาพยนตรศ์ ลิ ปะกม็ กั ใชก้ ารจบแบบเปดิ (open-ended) เพอ่ื สะทอ้ นถงึ โลกของความเปน็ จรงิ ทปี่ ญั หาหรอื
สถานการณม์ ไิ ดม้ ที างออกหรอื บทสรปุ เสมอไป ดงั เชน่ การหยดุ ภาพนงิ่ ไวท้ ใ่ี บหนา้ ของตวั ละครเอกในฉาก
จบเรอ่ื งของ The 400 Blows หรอื ในชอื่ ฝรงั่ เศส Les Quatre cents coups (Francois Truffaut, 1959)
โดยไม่ให้ความกระจ่างถงึ จุดจบทแี่ ท้จรงิ ของตัวละครแตอ่ ยา่ งใด

       แม้ว่าภาพยนตร์ศิลปะจะแสดงถึงลักษณะทางจิตใจของตัวละครที่เป็นเหตุและผลของเร่ือง แต่
ตวั ละครในภาพยนตรศ์ ลิ ปะกแ็ ตกตา่ งจากภาพยนตรฮ์ อลลวี ดู ตรงทไี่ มม่ เี ปา้ หมายหรอื แรงจงู ใจตอ่ การกระทำ�
และพฤติกรรมต่างๆ ท่ีชัดเจน รวมถึงไม่มีลักษณะเป็น “ฮีโร่” ตามแบบภาพยนตร์ฮอลลีวูดที่มักให้
ตวั ละครเอกเป็นผู้มีบทบาทสำ� คญั ในการกำ� หนดชะตาชวี ติ และดนิ้ รนต่อส้ตู อ่ สถานการณร์ อบตวั

       ลักษณะของตัวละครในภาพยนตร์ศิลปะท่ีถูกชักน�ำไปโดยสถานการณ์ที่บางคร้ังก็ไม่มีค�ำอธิบาย
เมือ่ รวมกบั การด�ำเนนิ เรอ่ื งแบบคลุมเครอื ไม่เปน็ ล�ำดับตอ่ เนอื่ งทัง้ ทางพน้ื ทแี่ ละเวลา และการเคล่ือนไหว
ของกล้องที่อาจไม่สัมพันธ์กับการกระท�ำของตัวละคร ก็ท�ำให้ภาพยนตร์ศิลปะมีแนวโน้มท่ีจะท�ำให้คนดู
เกดิ ความรสู้ กึ สบั สนและสงสยั ใครร่ ู้ อนั นำ� ไปสคู่ วามพยายามในการทำ� ความเขา้ ใจกบั เนอื้ เรอ่ื งและตวั ละคร
และเกิดการต้ังค�ำถามเก่ียวกับวิธีการเล่าเร่ืองของภาพยนตร์เอง ซึ่งเป็นผลลัพธ์ท่ีแตกต่างไปจากการชม
ภาพยนตร์ฮอลลีวูดท่ีผู้ชมจะถูกชักจูงให้ล่องลอยไปกับจินตนาการของเรื่องได้ง่ายดายกว่า จนมองข้าม
บทบาทความเปน็ “สือ่ ” ในการเล่าเรอ่ื งของภาพยนตร์ไป

       นอกจากภาพยนตร์ศิลปะแบบยุโรปแล้ว สุนทรียศาสตร์ของภาพยนตร์จากประเทศในทวีปอื่นๆ
เชน่ ภาพยนตรจ์ ากเอเชยี ตะวนั ออก (เชน่ ญปี่ นุ่ จนี ไตห้ วนั เกาหลี ฮอ่ งกง) ลาตนิ อเมรกิ า (เชน่ เมก็ ซโิ ก
บราซิล คิวบา) เอเชียใต้ (อินเดีย) และอาฟริกา ต่างก็มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่ไม่น่ามองข้าม ถึงแม้ว่า
ภาพยนตรจ์ ากประเทศในทวปี เหลา่ นจ้ี ะดำ� เนนิ รอยตามแบบแผนของภาพยนตรฮ์ อลลวี ดู เสยี เปน็ สว่ นใหญ่
แต่ดว้ ยอทิ ธพิ ลของสภาพทางวฒั นธรรม สังคม และการเมือง โดยเฉพาะอยา่ งยิง่ หลายประเทศท่เี คยตก
   35   36   37   38   39   40   41   42   43   44   45