Page 11 - องค์การและการจัดการและการจัดการทรัพยากรมนุษย์
P. 11
ทฤษฎีองค์การและก ารจัดการ 2-9
การป ฏิวัตทิ างอ ุตสาหกรรม (industrial revolution) ได้นำม าซ ึ่งก ารเปลี่ยนแปลงข องร ะบบอ ตุ สาหกรรมจ าก
ระบบท ี่ใช้ก ารผลิตด ้วยมือในอุตสาหกรรมครัวเรือน (household industry) เป็นส่วนใหญ่มาเป็นระบบท ี่ต้องอาศัย
เครื่องจักรเข้าช่วยในการทำงาน ปัญหาที่ตามมาก็คือความไม่สามารถที่จะปรับตัวของคนงานแต่ละคนในการทำงาน
ร่วมก ันในโรงงาน และความไม่สามารถในก ารใช้เครื่องจักรซึ่งได้จัดไว้ให้ใช้แทนการท ำงานด ้วยมือ ซึ่งช ่างฝีมือแต่ละ
คนม ีความถนัดได้อ ย่างมีประสิทธิภาพ คนงานแ ทนที่จ ะใช้เครื่องจักรท ี่จัดไว้ให้จ ึงม ักจะห ันมาใช้เครื่องม ือ ซึ่งแต่ละ
คนจ ัดหาม าใชต้ ามค วามช อบแ ละถ นัดข องแ ต่ละค น มาตรฐานก ารท ำงานข องเครื่องจักรจ ึงข ึ้นอ ยูก่ ับค วามต ้องการแ ละ
ความเคยชินในก ารป ฏิบัตงิ านข องแ ต่ละบ ุคคล การเรียนร ูเ้กี่ยวก ับง านเป็นไปอ ย่างไม่มรี ะบบแ ละม ักจ ะเรียนร ูโ้ดยก าร
สังเกตจากการทำงานของคนงานที่มีความชำนาญแล้วเป็นสำคัญ หัวหน้างานซึ่งเป็นตำแหน่งที่มีความสำคัญในขณะ
นั้นได้รับมอบอำนาจหน้าที่อย่างกว้างๆ ซึ่งรวมถึงการตัดสินใจเกี่ยวกับการคัดเลือกคนงาน การเลิกจ้างคนงานและ
การกำหนดระยะเวลาสำหรับการพักผ่อน การทำงานของตำแหน่งที่สำคัญๆ นี้เป็นไปในลักษณะเรียกว่ารับผิดชอบ
เบ็ดเสร็จ โดยไม่มีการแยกจากกันระหว่างงานการวางแผนที่ต้องใช้ความคิดกับงานการปฏิบัติการที่ต้องใช้แรงงาน
ทำให้ก ารต ัดสินใจข องผ ู้อ ยู่ในต ำแหน่งส ำคัญน ี้เป็นไปอ ย่างไม่มีร ะบบ และข าดป ระสิทธิภาพ ฝ่ายท ี่เป็นเจ้าของท ุนเอง
ไมส่ ามารถท ีจ่ ะแ กป้ ัญหาข องก ารท ำงานร ่วมก ันข องค นจ ำนวนม ากในร ะบบโรงงานได้ การแ กป้ ัญหาข องฝ ่ายจ ัดการแ ม้
จะไดม้ กี ารก ำหนดโครงสร้างข องอ งค์การ กำหนดค วามส ัมพันธร์ ะหว่างอ ำนาจห น้าทีแ่ ละค วามร ับผ ิดช อบ และก ำหนด
ระเบียบว ิธีก ารท ำงานต ่างๆ รวมท ั้งม ีค วามพ ยายามในก ารจ ัดร ะบบข องโรงงานเพื่อป ระสานค วามพ ยายามข องค นง าน
ให้ทำงานร่วมกันได้ แต่ความพยายามในการแก้ปัญหาก็เป็นในลักษณะที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานที่ไม่ถูกต้องและรอบคอบ
นัก เช่น ไมไ่ด้ม ีก ารให้ค วามส นใจในป ัญหาข องก ารป รับต ัวข องค นง านจ ากร ะบบท ี่ท ำด ้วยม ือเป็นร ะบบท ี่ใช้เครื่องจักร
ปญั หาข องก ารม ขี วญั ก ำลงั ใจตำ่ ในก ารท ำงานอ นั เปน็ ผ ลม าจ ากก ารเปลีย่ นแปลงไปใชร้ ะบบเครือ่ งจกั รม ปี รากฏอ ยทู่ ัว่ ไป
และปัญหาของค วามร ู้สึกท ี่ไม่ม ั่นคงข องคนงานซ ึ่งเกิดจากก ารท ำตามอ ำเภอใจของเจ้าของทุน
ปัญหาต่างๆ เหล่านี้เป็นผลทำให้เกิดแนวคิดการจัดการขึ้นใหม่เรียกว่า แนวคิดการจัดการเชิงวิทยาศาสตร์
โดยแ กน่ ข องแ นวคดิ ท างการจ ดั การเชงิ ว ทิ ยาศาสตรน์ เี้ กดิ จ ากค วามค ดิ ข องเฟร ดเดอ รคิ วนิ ส โลว์ เทยเ์ ลอร์ (Frederick
W. Taylor) ผู้ซ ึ่งได้ร ับก ารยอมรับให้เป็นบ ิดาหรือผ ู้นำของแ นวคิดก ารจัดการเชิงวิทยาศาสตร์
ผลง านของเฟรดเดอริด วินสโลว์ เทย์เลอร์ (1856-1915)
แก่นข องค วามค ิดในแ นวคิดก ารจ ัดการเชิงว ิทยาศาสตร์นั้นก ล่าวว ่า ในก ารท ำงานใดก ็ตามจ ะส ามารถใช้ห ลัก
ทางวิทยาศาสตร์เข้าช่วยในการศึกษาวิเคราะห์เกี่ยวกับงานนั้นๆ ได้เสมอ โดยเฉพาะงานในระดับที่ต้องปฏิบัติโดย
คนงาน เทย์เลอร ์เชื่อว่าการวิเคราะห์ข้อมูลซึ่งเก็บจ ากส ถานท ี่ป ฏิบัติก ารโดยใช้หลักท างว ิทยาศาสตร์จ ะท ำให้สามารถ
ค้นหาว ิธีการทำงานที่ดีท ี่สุดว ิธีเดียวได้ จากผ ลง านข องเทย์เลอร์ โดยเฉพาะผลง านเขียนเรื่อง Shop Management
และ The Principles of Scientific Management พอจะสรุปเกี่ยวกับแนวคิดการจัดการเชิงวิทยาศาสตร์* ซึ่ง
เทย์เลอร์เสนอไว้เป็นหลักการท ี่ส ำคัญ 4 หลักการได้ ดังนี้2
1. การห าว ธิ ที ด่ี ที ส่ี ดุ (one best way) ในก ารท ำงาน ฝ่ายบ ริหารจ ะต ้องท ำการส ังเกตแ ละร วบรวมข ้อมูลอ ย่าง
เป็นร ะบบเกี่ยวก ับก ารป ฏิบัตงิ านข องง านห นึ่งง านใดไวเ้พื่อค ้นหาว ิธที ีด่ ที ี่สุดในก ารป ฏิบัตงิ านแ ต่ละง าน ซึ่งจ ะต ้องร วม
ถึงกฎของก ารเคลื่อนไหว การกำหนดมาตรฐานของง านแ ละการม ีสภาวะแวดล้อมของงานท ี่เหมาะสม
*คำว่าวิทยาศาตร์ในที่นี้ หมายถึง การศึกษาทุกสิ่งอย่างเป็นระบบ มิใช่ในความหมายของวิทยาศาสตร์ที่แท้จริง ซึ่งต้องทดสอบเชิง
ประจักษ์ว าท
ลขิ สิทธข์ิ องมหาวทิ ยาลัยสโุ ขทยั ธรรมาธริ าช