Page 14 - การส่งเสริมสุขภาพและการป้องกันโรค
P. 14
2-12 การส่งเสริมสุขภาพและการป้องกันโรค
เมื่อส าเหตขุ องโรคเข้าส ูร่ ่างกายข องบ ุคคลท ีม่ โีอกาสป ว่ ยเปน็ โรคอ าจก ่อใหเ้กดิ ก ารเปลีย่ นแปลงร ะดบั โมเลกลุ
ระยะเวลาท ีเ่ริ่มเกิดค วามเปลี่ยนแปลงภ ายในร ่างกายน ับเป็นจ ุดเริ่มต ้นข องก ารเจ็บป ่วยท างช ีววิทยาข องโรค (Biologic
Onset of Disease) ซึ่งไม่สามารถสังเกตได้ ผู้ป่วยยังไม่มีอาการของการเจ็บป่วย เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงมากขึ้น
จนถึงระดับหนึ่งจะสามารถตรวจพบโรคได้ด้วยการตรวจทางพยาธิวิทยา หลังจากนั้นผู้ป่วยอาจเริ่มรู้สึกตัวว่า มี
อาการผิดปกติ แต่อาจยังไม่ไปรับบริการทางการแพทย์ จนกระทั่งมีความเจ็บป่วยรุนแรงขึ้นจึงไปขอรับบริการทาง
การแพทย์ ผู้ป่วยอาจได้รับการวินิจฉัยโรค และได้รับการรักษาในเวลาต่อมา ผลของการรักษาอาจทำให้ผู้ป่วยหาย
จากการเจ็บป่วย หรืออาจค วบคุมโรคได้ซ ึ่งอ าจมีความพ ิการต ิดตามม าหรือไม่ก็ตามห รือผู้ป่วยอ าจเสียช ีวิต
ช่วงเวลาตั้งแต่บุคคลที่มีโอกาสป่วยเป็นโรคได้รับปัจจัยก่อโรคหรือเชื้อก่อโรคเข้าไปจนกระทั่งแสดงอาการ
ทางคลินิก เรียกว ่า ระยะฟักตัว (Incubation Period) ระยะฟักตัวน ี้อาจสั้นเพียงไม่กี่วันหรืออาจยาวนานเป็นปี
ระยะเวลาตั้งแต่จุดเริ่มต้นของการเจ็บป่วยทางชีววิทยาจนถึงระยะที่ผู้ป่วยเริ่มรู้สึกตัวว่า มีอาการเจ็บป่วย
เรียกว่า ระยะก่อนแสดงอาการทางคลินิก (Preclinical Phase) และระยะตั้งแต่เริ่มแสดงอาการทางคลินิกเป็นต้น
ไปจนถึงระยะที่มีผลของโรคเรียกว่า ระยะแสดงอาการทางคลินิก (Clinical phase) เวลาที่เชื้อก่อโรคสามารถแพร่
จากผู้ที่ติดเชื้อไปยังผ ู้อ ื่นทั้งโดยตรงแ ละผ ่านทางพ าหะน ำโรคเรียกว ่า ระยะต ิดต่อ (Communicable Period)
4. ลกั ษณะตา่ งๆ ของก ารแ สดงอ าการทางค ลินิก
การเจ็บป่วยและการเกิดโรคมักถูกกล่าวถึงในลักษณะที่ผู้ป่วยอาจเป็นโรคหรือไม่เป็นโรค ซึ่งอาจทำให้
เข้าใจว่า การเปลี่ยนแปลงจากสภาวะปกติคือ ไม่ป่วยเป็นโรคไปสู่สภาวะการป่วยเป็นโรคเกิดขึ้นอย่างฉับพลัน ใน
ความเป็นจริงการเกิดโรคเป็นสภาวะที่มีความต่อเนื่องคือ เมื่อได้รับปัจจัยสาเหตุของโรคเข้าสู่ร่างกายแล้ว จึงเริ่ม
เกิดการผิดปกติในการทำหน้าที่ของร่างกายทีละเล็กละน้อย หากร่างกายไม่สามารถหยุดยั้งกระบวนการดังกล่าวได้
จะมีค วามผ ิดปกติเพิ่มม ากขึ้นจ นแสดงอาการเจ็บป ่วยช ัดเจน
ลักษณะการแสดงอ าการท างคลินิกส ามารถแ บ่งได้เป็นกลุ่มได้แก่
1) ผู้ป ่วยที่แ สดงอ าการทางคลินิก หมายถ ึง ผู้ป่วยท ี่มีอาการและอาการแ สดงข องโรคอย่างชัดเจน
2) ผู้ป ่วยที่ไม่แ สดงอาการทางคลินิก ซึ่งครอบคลุมถึงผู้ป่วยกลุ่มต่างๆ ดังนี้
(1) ผู้ป ่วยในร ะยะก ่อนแ สดงอ าการท างค ลินิก (Preclinical Period) หมายถ ึง ผู้ป ่วยท ี่ม ีก ารผ ิดป กติ
หรือมีโรคเกิดข ึ้นแ ล้วเพียงแ ต่อยู่ในระยะต้นย ังไม่แสดงอ าการอ อกมา
(2) ผู้ป่วยแบบสับคลินิก (Subclinical Period) หมายถึง ผู้ป่วยซึ่งมีความผิดปกติหรือมีโรคเกิด
ขึ้นแล้ว แต่เป็นค วามผิดป กติชนิดที่ไม่แสดงอาการ แม้จะไม่สามารถต รวจพ บได้จากอ าการห รืออ าการแสดง แต่อ าจ
ตรวจพบได้จ ากการตรวจเลือดห รือน้ำเหลือง
(3) ผู้ป่วยเรื้อรัง (Chronic Period) ผู้ป่วยบางรายหลังจากที่มีอาการหรืออาการแสดงของโรคแล้ว
แต่ไม่สามารถกำจัดโรคหรือความเจ็บป่วยให้หมดไปได้ ต่อมาอาการและอาการแสดงของโรคเปลี่ยนไปหรือเบาบาง
ลงแต่ผู้ป่วยยังไม่กลับมาเป็นปกติ และมีอาการเจ็บป่วยเช่นนี้ต่อไปเป็นเวลานาน สาเหตุของโรคยังอยู่ในภาวะที่อาจ
ทำให้เกิดโรคขึ้นม าได้อ ีก
(4) ผู้ป่วยระยะแฝง (Latent Period) โรคบางชนิดโดยเฉพาะโรคติดต่อไวรัส สาเหตุของโรคอาจ
แบ่งตัวอยู่ในร่างกายของผู้ป่วยได้เป็นเวลานานโดยอยู่ในภาวะที่ไม่ก่อให้เกิดโรคหรือการเจ็บป่วยและไม่ติดต่อสู่
ผู้อื่น
(5) ผู้ป่วยระยะท ี่เป็นพาหะของโรค (Carrier Period) หมายถึง บุคคลที่มีสาเหตุ เช่น เชื้อไวรัสของ
โรคอยู่ในร ่างกาย แต่ร ่างกายไม่แสดงป ฏิกิริยาต่อสาเหตุข องโรคนั้นๆ โดยบุคคลนั้นสามารถแพร่โรคไปยังผู้อื่นได้
ลิขสิทธ์ขิ องมหาวทิ ยาลยั สโุ ขทัยธรรมาธิราช