Page 138 - พฤติกรรมมนุษย์และจริยธรรมทางเศรษฐกิจและธุรกิจ
P. 138
12-8 พฤติกรรมมนุษย์และจ ริยธรรมทางเศรษฐกิจแ ละธุรกิจ
ถูกน ำม าใชใ้นก ารผ ลิตก ่อน เมื่อท รัพยากรเหล่าน ีห้ มดส ิ้นไป กจ็ ะต ้องหาท รัพยากรใหมม่ าท ดแทนซ ึ่งม คี ุณภาพเลวก ว่า
โดยเปรียบเทียบ ดังน ั้น ต้นทุนในก ารนำท รัพยากรข ึ้นม าใช้ รวมไปถ ึงต ้นทุนท างด ้านข องเสียท ี่ส ะสมในป ริมาณส ูงเกิน
กว่าศักยภาพข องสิ่งแ วดล้อมท ี่จะร องรับได้และก ลายเป็นมลพิษ จะท ับถมส ูงขึ้นจ ากก ารด ้อยคุณภาพของทรัพยากร
ในเวลาต อ่ ม า มารก์ ซไ์ ดช้ ใี้ หเ้ หน็ ถ งึ ค วามเปน็ ไปไดท้ กี่ ารเจรญิ เตบิ โตท างเศรษฐกจิ อ าจจ ะถ กู จ ำกดั จ ากค วามไม่
สงบท างส ังคมแ ละก ารเมืองภ ายในป ระเทศแ ละก ับส ังคมอ ื่นท ี่เกี่ยวข้อง ประเด็นเรื่อง “ข้อจ ำกัดท างส ังคมในก ารเจริญ
เติบโตท างเศรษฐกิจ” (social limits to growth) ได้มีการขยายความต่อท างด้านแ นวคิดในช ่วงทศวรรษท ี่ 1970 โดย
ได้เพิ่มข ยายไปถ ึงค วามห ่วงใยท างด ้านค ุณธรรม (moral concerns) ทีเ่กี่ยวข้องก ับก ารเจริญเติบโตแ ละก ารพ ัฒนา ซึ่ง
เป็นป ระเด็นท างจ ริยธรรม กล่าวคือ คำถามเกี่ยวก ับความถ ูกต้องชั่วดี (questions of right or wrong) ในเรื่องข อง
ผลกระทบในท างล บที่อาจจะเกิดขึ้นจากการข ยายต ัวอย่างร วดเร็วของระบบเศรษฐกิจสมัยใหม่ อนาคตของลูกห ลาน
หรือคนในรุ่นต่อไปและสรรพสิ่งทั้งหลายที่ไม่ใช่มนุษย์จะเป็นอย่างไร ตลอดจนความเสื่อมทรามของมาตรฐานทาง
ด้านค ุณธรรมในสังคมที่เป็นอยู่ป ัจจุบัน
นักคิดทางด ้านเศรษฐศาสตร์การเมืองที่มีชื่อเสียงอีกคนหนึ่ง คือ เจ เอส มิลล์ (J.S. Mill, 1857) มีค วามเชื่อ
ว่ากระบวนการในการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจจะจบลงใน “สภาพการณ์ที่คงตัว” (the stationary state) ซึ่งเป็น
สภาวการณท์ รี่ ะดบั ป ระชากรจ ะค งตวั ไมม่ กี ารเพิม่ ห รอื ล ดล งโดยม จี ำนวนบ า้ นท อี่ ยอู่ าศยั โครงสรา้ งพ ืน้ ฐ าน พืน้ ทที่ ำการ
เกษตร และโรงงานอ ุตสาหกรรมค งที่เช่นก ัน โดยน ัยท างเศรษฐศาสตร์ สภาพก ารณ์ด ังก ล่าวจ ะม ีป ริมาณห รือจ ำนวนท ี่
มีอ ยู่ข องท ุนม นุษย์ (คน) คงที่ (a constant stock of human capital) และป ริมาณห รือจ ำนวนท ี่ม ีอ ยู่ข องท ุนก ายภาพ
เช่น เครื่องจักร อาคาร เป็นต้น คงที่ (a constant stock of physical capital) สังคมที่อยู่ในสภาพการณ์ที่คงตัวจ ะ
เป็นส ังคมที่พ ึงปรารถนา เนื่องจากเป็นส ังคมที่ทำให้คนม ีเวลาแ ละมีแ หล่งหรือพ ื้นที่ที่ประชากรสามารถม ีค วามส ุขกับ
สิ่งที่เป็นนามธรรมได้ เช่น ความสวยงามทางด้านศิลปะทางด ้านจิตว ิญญาณ และทางการเรียนร ู้
แนวคิดเกี่ยวก ับ “ปริมาณห รือจ ำนวนที่มีอ ยู่ที่คงที่” (the constant stock idea) ได้ร ับความส นใจมากขึ้น
ในช ่วงท ศวรรษท ี่ 1970 เมื่อ ดาล ี (Daly, 1973) ได้เขียนห นังสือท ี่เน้นถ ึงก ารส ร้างเศรษฐกิจท ี่ม ีส ภาพก ารณค์ งตัวท ี่ไม่มี
การเจริญเติบโต (a no-growth steady-state economy) สำหรับดาล ี ปัญหาห ลักในทางน โยบาย คือ เศรษฐกิจควร
จะมีขนาดทางกายภาพ หรือขนาดข องป ระชากรภายใต้ร ะบบนิเวศน์ที่ใหญ่แ ค่ไหน หากเปรียบเทียบก ับร ะบบทั้งหมด
นั่นคือ ระบบที่เกี่ยวข้องกับชั้นบรรยากาศ เศรษฐกิจบวกกับระบบนิเวศน์ และความสัมพันธ์ระหว่างกันของสามสิ่ง
ดังกล่าว ดาลีได้ว ิจารณ์เศรษฐศาสตร์ดั้งเดิม ที่ม องระบบเศรษฐกิจ เป็น “ระบบปิด” ว่า เป็นศาสตร์สาขาท ี่ไม่สามารถ
ให้การวิเคราะห์ที่เหมาะสมต่อประเด็น “ขนาด” เศรษฐกิจ (ประชากร x การใช้ทรัพยากรต่อหัว) ได้ แนวคิดของด าลี
ได้น ำไปส ู่การพ ัฒนาเศรษฐศาสตร์ในส าขาที่เรียกว ่า เศรษฐศาสตร์นิเวศน์ (ecological economics)
โดยสรุป ในการพัฒนาประเทศโดยการเน้นการเจริญเติบโตหรือการขยายตัวทางเศรษฐกิจนั้น ได้มีนัก
เศรษฐศาสตร์หลายคนที่ได้ขยายแนวคิดที่เห็นความสัมพันธ์ของระบบเศรษฐกิจกับสิ่งแวดล้อมโดยมองเห็นถึงข้อ
จำกัดของร ะบบนิเวศน์ต่อการพ ัฒนา ซึ่งข ้อจำกัดน ี้จะน ำระบบเศรษฐกิจเข้าส ู่ สภาพก ารณ์ที่ค งตัว ที่ไม่สามารถขยาย
ตัวต่อไปได้ ข้อสรุปของจุดจบของระบบเศรษฐกิจนี้ได้นำไปสู่แนวคิดด้านการพัฒนาแบบยั่งยืนที่เกิดขึ้นบนพื้นฐาน
ทางจริยธรรมท ี่ม นุษย์ค วรมีต ่อสิ่งแวดล้อมบ นโลกใบน ี้
ลิขสิทธ์ขิ องมหาวทิ ยาลัยสโุ ขทยั ธรรมาธริ าช