Page 47 - สังคมโลก
P. 47
จักรวรรดินิยม 6-7
(high imperialism) ภาพการแข่งขันที่รุนแรงในช่วงนี้เองที่ทำ�ให้มุมมองแบบนีโอมาร์กซ์ (neo-Marxist imperial-
ism) โดดเด่นขึ้นมา โดยมีนักประวัติศาสตร์เศรษฐกิจจำ�นวนหนึ่งเรียกร้องให้แยกการขยายตัวของชาติตะวันตกใน
ยุคสมัยนี้ออกเป็นสองลักษณะคือ จักรวรรดินิยมทางเศรษฐกิจ (economic imperialism) และจักรวรรดินิยมแบบ
ทุนนิยม (capitalist imperialism) เพราะมีการมองต่างระดับเกี่ยวกับการกดขี่ ขูดรีด บีบบังคับเอาทรัพยากรและ
แรงงานจากชนพื้นเมือง โดยที่จักรวรรดิแบบทุนนิยมให้ภาพดังกล่าวชัดเจนกว่า
แม้อีเธอริงตันจะเสนอภาพว่า ในทางทฤษฎีมีความแตกต่างระหว่างลัทธิจักรวรรดินิยม (imperialism)
ลัทธิการล่าเมืองขึ้นหรืออาณานิคม (colonialism) และการขยายตัวของลัทธิทุนนิยม (capitalism)4 แต่ผู้เขียนเห็น
ว่า เรื่องราวเหล่านี้เกี่ยวข้องสัมพันธ์กัน และเป็นพื้นฐานสำ�คัญในการทำ�ความเข้าใจแนวคิดเรื่องจักรวรรดินิยมแบบไร้
ศูนย์กลางของไมเคิล ฮาร์ดท์ (Michael Hardt) และอันโตนิโอ เนกรี (Antonio Negri) (ศึกษารายละเอียดได้จาก
ตอนที่ 6.3.2) ที่ก่อร่างแนวคิดขึ้นมาจากการทำ�ความเข้าใจแนวคิดและความเป็นไปทางปรัชญา ประวัติศาสตร์
วัฒนธรรม เศรษฐกิจ การเมือง และมานุษยวิทยา ภายใต้ร่มเงาแนวคิดแบบมาร์กซ์ อย่างไรก็ตามการเสนอภาพความ
คิดเกี่ยวกับจักรวรรดินิยม หาใช่มีเพียงความคิดในสายมาร์กซ์ เพื่อความเข้าใจมากขึ้นต่อเรื่องจักรวรรดินิยม ผู้เขียน
ขอใช้พื้นที่ส่วนหนึ่งในการขยายความแนวคิดจักรวรรดินิยม ทั้งที่เกี่ยวและไม่เกี่ยวข้องกับสายความคิดแบบมาร์กซ์
พอสังเขป เพื่อใช้เป็นกรอบในการกำ�หนดทิศทางเนื้อหาของหน่วยนี้
แนวคิดจักรวรรดินิยม ในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 เริ่มมีการตั้งคำ�ถามกันอย่างจริงจังว่า เหตุใดชาติตะวันตก
จึงต้องแข่งขันกันเป็นเจ้าอาณานิคม เหตุผลหลักที่ได้รับการกล่าวอ้างมากที่สุดก็คือการขยายตัวทางเศรษฐกิจซึ่ง
อาจปรากฏในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งในสามรูปแบบ หรืออาจปรากฏทั้งสามรูปแบบผสานกันไป นั่นคือ 1) นักธุรกิจ
ทุนนิยม (capitalists) ต้องการความมั่นใจว่า มีวัตถุดิบที่จำ�เป็นในการพัฒนาอุตสาหกรรมที่ซับซ้อนมากขึ้นของตน
2) คนเหล่านี้จำ�เป็นต้องมีตลาดในการระบายสินค้าจากการผลิต ซึ่งมีมากเกินกว่าจะขายท�ำ กำ�ไรได้ในประเทศของตน
และ 3) กลุ่มคนเหล่านี้ต้องการพื้นที่ที่ยังไม่ได้รับการพัฒนา เพื่อเป็นแหล่งรองรับการลงทุนจากกำ�ไรสะสมที่พวกตน
หาได้จากการทำ�อุตสาหกรรมและธุรกรรมทางการเงิน5
เจ ฮอลแลนด์ โรส (J. Holland Rose) เสนอความคิดขึ้นใน ค.ศ. 1905 ว่า การขยายตัวของชาติตะวัน
ตกจะเกิดขึ้นไม่ได้เลย หากไร้ซึ่งสภาพเงื่อนไขตั้งต้น (prerequisites) สามประการนั่นคือ 1) ยุโรปอยู่ในช่วงสันติ6
2) การสำ�รวจดินแดนต่างๆ ก่อนหน้านี้ได้ให้ข้อมูลพื้นฐานที่จำ�เป็นในการวางนโยบายการขยายดินแดน และ 3) การ
เปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีอำ�นวยให้เกิดความเป็นไปได้ในการผนวกรวมดินแดน และการบำ�รุงรักษาจักรวรรดิ
ขนาดใหญ่ ส่วนผู้กำ�หนดนโยบายจะเลือกดำ�เนินนโยบายขยายดินแดนหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับเงื่อนไขหลักสำ�คัญ 3
ประการ คือ 1) ดนิ แดนใหมน่ ัน้ จะต้องมีค่าคู่ควรแก่การตั้งถิน่ ฐานหรือการขดู รีดทรัพยากร 2) ชาตทิ ีจ่ ะด�ำ เนนิ นโยบาย
4 Norman Etherington. (1984). Theories of Imperialism: War, Conquest and Capital. London: Croom Helm cited in
Jonathan Hardt. (2008), op cit., pp 9-10.
5 Harrison M. Wright. (1976). The ‘New Imperialism’: Analyses of the Late-Nineteenth Century of Expression. Lex-
ington, Massachusetts, Toronto: D.C. Heath and Company, p. xi.
6 ยโุ รปไรซ้ ึง่ ความขดั แยง้ ใหญ่ ทีจ่ ะน�ำ ไปสูส่ งครามระหวา่ งรฐั มหาอ�ำ นาจในยโุ รปตัง้ แตก่ ารประชมุ คองเกรสแหง่ เวยี นนา (The Congress
of Vienna) ใน ค.ศ. 1815 หลังการสิ้นสุดของสงครามนโปเลียน แม้จะเกิดความขัดแย้งขึ้นบ้างโดยเฉพาะจากการขยายตัวของลัทธิชาตินิยมใน
หลายพื้นที่ แต่ก็ยังมีอังกฤษซึ่งเป็นมหาอ�ำ นาจนอกทวีปยุโรปคอยด�ำ เนินนโยบายตรวจสอบและถ่วงดุล เพื่อไม่ให้ความขัดแย้งขยายตัว (เพื่อความ
กระจ่างในเรื่องการด�ำ เนินนโยบายทางการทูตของประเทศมหาอ�ำ นาจในยุโรป โปรดศึกษาเพิ่มเติมได้ที่ มณีมัย รัตนมณี (2522) ประวัติศาสตร์การ
ทูตยุโรป ค.ศ. 1815-1914 กรุงเทพมหานคร คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์)
ลิขสิทธขิ์ องมหาวทิ ยาลัยสโุ ขทยั ธรรมาธิราช