Page 35 - การเมืองการปกครองไทย หน่วยที่ 5
P. 35

โครงสร้าง และสถาบันการเมืองการปกครองของไทย 5-25

            2) 	การ​พยายามจ​ ัด​แยก​ทหาร​กบั พ​ ลเรือน​ออกจ​ าก​กัน
            ลกั ษณะส​ �ำ คญั ท​ มี​่ ก​ี ารจ​ ดั ท​ �ำ ​ขึน้ ใ​นย​ คุ น​ ี้ กค​็ อื การก​ �ำ หนดใ​หม​้ ห​ี นว่ ยง​ านใ​หญข​่ ึน้ ม​ า 2 หนว่ ยง​ าน
เพื่อ​ให้​มีหน้า​ที่​โดย​เฉพาะ​แยก​ออก​จาก​กัน คือ ฝ่าย​ทหาร กับ​ฝ่าย​พลเรือน คือ (โปรด​ดู​ภาพ​ที่ 5.1
ประกอบ)

                2.1) 	ฝ่าย​ทหาร​เรียก​ว่า “สมุห​กลาโหม” ผู้​บังคับ​บัญชา​สูงสุด​คือ “สมุห​พระ​กลาโหม”
ไดร้​ ับพ​ ระราชทานย​ ศแ​ ละร​ าชทินนามว​ ่า เจ้าพระยาม​ หาเ​สนาบดวี​ ริ​ ิยภ​ ักดบี​ ดนิ​ ทร​ สรุ​ ินท​ รฤ​ าไ​ชย เรียกส​ ั้นๆ ว่า
“เจ้าพระยาม​ หาเ​สนา” (ศักดินา 10,000 ไร่) มตี​ รา “คชสีห์” เป็นต​ ราป​ ระจำ�​ตำ�แหน่ง (พิสิฐ เจริญว​ งศ์ คงเ​ดช
ประพ​ ัฒน์ท​ อง และศ​ ุภร​ ัตน์ เลิศพาณิชย์ส​ กุล 2527: 150-157)

                ตำ�แหน่ง​รอง​ลง​มา​มี 2 ตำ�แหน่ง คือ “เดโช” ผู้​ดำ�รง​ตำ�แหน่ง​มี​ยศ​และ​ทิน​นาม​ว่า
ออกญาส​ ีหราชเ​ดโช​ไชย และ “ท้ายน​ ํ้า” ผู้ด​ ำ�รงต​ ำ�แหน่ง​มีย​ ศ​และ​ราชทินนาม​ว่า ออกญา​สีหราชท​ ้ายน​ ํ้า (ต่าง​
ก็​มี​ศักดินา 10,000 ไร่) และ​ยัง​มี​หน่วย​งาน​ย่อย​เสมือน​เป็น “กอง​กลาง” ของ​หน่วย​งาน​ฝ่าย​ทหาร เรียก​ว่า
“ราช​ปลัด​ทูลฉ​ ลองม​ ี​พะ​ลำ�พัง” อีก​หน่วยง​ าน​หนึ่ง (หลวง​วิจ​ ิตรว​ ​าทการ 2493)

                อ�ำ นาจห​ นา้ ท​ หี​่ ลกั ๆ เกีย่ วขอ้ งก​ บั ก​ จิ การด​ า้ นท​ หาร ทมี​่ ก​ี ารจ​ ดั ห​ นว่ ยง​ านย​ อ่ ยๆ ของท​ หาร​
ไว้​หลายห​ น่วย​งาน (โปรดด​ ูแ​ ผนภาพ​ที่ 5.1 ประกอบ) รวม​ทั้ง​หน้าที่ใ​น​การร​ ะดม​และค​ วบคุมก​ ำ�ลัง​ไพร่พลท​ ี​่
เกี่ยวข้อง​ไปถ​ ึง​ราษฎรท​ ุกค​ นใน​ราช​อาณาจักรอ​ ีกด​ ้วย

                2.2) 	ฝ่าย​พลเรือน เรียก​ว่า “สมุหนายก” ผู้​บังคับ​บัญชาส​ ูงสุดค​ ือ “สมุหนายก” มีย​ ศ​
และ​ราชทินนาม​ว่า “เจ้าพระยา​จักรี​องค​รัก​ษ​สมุหนายก​อัคร​มหา​เสนาบดี” เรียก​สั้นๆ ว่า “เจ้าพระยา​จักรี”
(ศักดินา 10,000 ไร่) มี​ตรา “พระร​ าชสีห์” เป็น​ตรา​ประจำ�​ตำ�แหน่ง

                 มี​อำ�นาจห​ น้าที่​ควบคุม ดูแลก​ ิจการด​ ้าน​พลเรือนท​ ั่ว​ราช​อาณาจักร โดยแ​ ยก​หน่วย​งาน​
หลักๆ เป็น มหาดไทย​ฝ่าย​เหนือ มหาดไทย​ฝ่าย​พะ​ลำ�พัง มหาดไทย​ตำ�รวจ​ภูธร มหาดไทย​ตำ�รวจ​ภูบาล
และ​ยัง​มี “จตุสดมภ์” หรือ “กรม​หลัก​ทั้ง 4” อยู่​ใน​โครงสร้าง​ของ​ฝ่าย​พลเรือน​ด้วย คือ ฝ่าย​วัง หรือ
ธร​รมาธิ​บดี ฝ่าย​เวียง คือ นครบาล​บดี ฝ่าย​คลัง คือ โกษ​าธิ​บดี และ​ฝ่าย​นา คือ เกษตร​าธิ​บดี ที่​มี​การ​
แยก​หน่วย​งาน​และ​หน้า​ที่​ย่อยๆ ออก​ไป​อีก​ใน​แต่ละ​ฝ่าย เช่น นครบาล​บดี แยก​เป็นก​อง​ตระเวน​ขวา และ​
กอง​ตระเวนซ​ ้าย เกษตรา​ธิ​บดี มีฝ​ ่ายฉ​ าง ฝ่ายข​ ้าวเ​ปลือก และห​ นัง​สัตว์ และฝ​ ่าย​วัง หรือ​ธร​รมาธิ​บดี แยก​
หน่วย​งาน​และ​หน้าที่​ต่างๆ ออก​ไป​ถึง 17 ฝ่าย เช่น ฝ่าย​วัว​นอก ฝ่าย​จางวาง ฝ่าย​แพทยา โหร คช​บาล
ม้าต้น พระ​อาลักษณ์ และล​ ูกขุน เป็นต้น

                จตุสดมภ์ จึง​ยัง​มี​ลักษณะ​เป็น​องค์กร​ใหญ่​และ​มี​ความ​สำ�คัญ​อยู่​มาก​ใน​โครงสร้าง​ใหม่​
ที่พ​ ยายามจ​ ัดแ​ ยกท​ หาร​กับพ​ ลเรือน​ออกจ​ ากก​ ัน เนื่องจาก​เป็น​อำ�นาจห​ น้าที่เ​กี่ยวข้อง​กับพ​ ระม​ หา​กษัตริย์ วัง
และ​ราชธานีโ​ดยตรง นอกจากน​ ั้น ยังม​ ีก​ าร​ปรับปรุง​ให้​มี​กรมวังโดย​มีภ​ าระห​ น้าที่เ​กี่ยว​กับ “กฎหมาย” ด้วย
เพราะฝ​ ่ายว​ ังม​ ี “สมณช​ พี​ ราหมณ์” เข้าม​ าท​ ำ�​หน้าทีเ่​กี่ยวก​ ับก​ ฎหมาย คือ นำ�​เอาค​ วามร​ ูใ้​น “พระธ​ รรมศาสตร์”
มาจ​ ัดท​ ำ�​กฎหมาย การต​ ัดสินค​ ดีค​ วาม และย​ ัง​เป็นผ​ ู้ป​ ระกอบพ​ ิธีกรรมต​ ่างๆ และท​ ำ�​หน้าที่โ​หร พราหมณ์บ​ าง​
คนไ​ดร้​ ับต​ ำ�แหน่ง “มหาราชค​ รู” เป็นต​ ำ�แหน่งป​ ระมุขฝ​ ่ายต​ ุลาการ (ศักดินา 10,000 ไร่) และจ​ ตุสดมภฝ์​ ่ายว​ ัง
ได้​รับ​บรรดาศักดิ์เ​ป็น “ธรร​ มาธิ​กรณาธิ​บดี” แปลว​ ่า ผู้เ​ป็น​ใหญ่​ใน​การว​ ินิจฉัย​คดีพ​ ิพาทใ​ห้เ​ป็น​ธรรม (หลวง​
วิจิตร​วาท​การ 2493: 85-66)
   30   31   32   33   34   35   36   37   38   39   40