Page 16 - หลักการเรียนรู้ภาษาอังกฤษ และบริบททางภาษา
P. 16
8-6 หลักการเรียนรู้ภาษาอังกฤษและบริบททางภาษา
เรื่องท ี่ 8.1.2 จดุ ก�ำ เนดิ ข องภาษา
การก �ำ เนดิ ภ าษาเปน็ ป ระเดน็ ท บี่ คุ คลท ัว่ ไปแ ละน กั ภ าษาศาสตรใ์ หค้ วามส นใจต ลอดม า ดงั น ัน้ ม มุ ม อง
ในเรื่องก ารกำ�เนิดข องภ าษาแ ละก ารส ื่อสารจ ึงมีม ากมายห ลากห ลาย ซึ่งข ึ้นอ ยู่กับค วามเชื่อของแต่ละบ ุคคล
แต่ละวัฒนธรรม ยกต ัวอย่างเช่น ในท างศาสนาก็มีเรื่องเล่าท ี่เกี่ยวก ับก ารกำ�เนิดของภาษาแ ตกต ่างก ันไป
ตัวอย่างเรื่องเล่าทางศาสนาเกี่ยวกับต้นกำ�เนิดของมนุษย์ที่น้อยคนนักจะเคยได้ยินคือเรื่องเล่าใน
พุทธศาสนา ในทางศาสนาพุทธไม่ปรากฏชัดว่ามนุษย์สามารถใช้ภาษาสื่อสารกันได้อย่างไรและเริ่มต้นขึ้น
เมื่อใด อย่างไรก็ตามในอัคคัญญสูตร (สูตรที่ 4 แห่งพระสุตตันตปิฎก) ได้มีการกล่าวถึงวิวัฒนาการของ
โลกแ ละสังคมม นุษย์ว ่าเกิดข ึ้นม าได้อ ย่างไร โดยสรุปแล้วพระสูตรนี้ได้ก ล่าวถ ึงการก ำ�เนิดข องโลกไว้ว่า ใน
อดีตกาลไม่มีโลก มีแ ต่ค วามเวิ้งว้างว ่างเปล่า ต่อม าได้ม ีฝ นต กหนักอ ย่างต ่อเนื่องจ นท ่วมท้นจ ักรวาลอ ันก ว้าง
ใหญ่ไพศาล และเมื่อร ะดับน ํ้าลดล งจ ึงท ำ�ให้ป รากฏเห็นพ ื้นด ิน เหนือพ ื้นด ินน ั้นม ลี ะอองต ะกอนข องธ าตตุ ่างๆ
ที่เรียกว ่า ง้วนด ิน ง้วนด ินน ี้ม ีร สชาติอ ร่อย หอมห วาน ถูกใจโอปป าต ิกส ัตว์ย ิ่งน ัก โอปป าต ิกส ัตว์เป็นส ิ่งม ีช ีวิต
ที่ล่องลอยอยู่ในจักรวาล ไม่มีร่างกายหากแต่เป็นดวงไฟสว่างคล้ายหิ่งห้อยที่ลอยคว้าง เมื่อโอปปาติกสัตว์
ได้ลิ้มรสของง ้วนด ินก็เกิดติดใจในรสชาติ ยิ่งบริโภคง ้วนดินมากขึ้นกายห ยาบก ็ปรากฏให้เห็นข ึ้นด้วย และ
นํ้าหนักก็ม ากข ึ้นเช่นกัน ทำ�ให้ล ่องล อยไปมาในจักรวาลไม่ได้อ ีกต่อไป อีกทั้งไฟที่เคยส ว่างวาบก ็ดับล ง จาก
นั้นจ ึงเกิดดวงอ าทิตย์ ดวงจ ันทร์ และด วงดาวต่างๆ มากมาย แสงส ว่างจ ากดวงดาวเหล่าน ั้นมาท ดแทนแสง
จากในต วั โอปปาต ิกส ตั ว์ทด่ี ับล งนั่นเอง แตถ่ ึงแ ม้ว่าไฟในดวงจิตจ ะดับล งแ ละป รากฏเปน็ ก ายหยาบ โอปปาตกิ
สัตว์เหล่านั้นก็ยังคงมีกิเลสติดใจในรสชาติของง้วนดิน บริโภคมากเข้าจนง้วนดินหมดเหลือเพียงสะเก็ดดิน
และเครือดิน ต่อมาเครือดินกลายเป็นข้าวสาลี และอาหารอื่นๆ ที่ไม่ประณีตและหยาบ ซึ่งเป็นผลสืบเนื่อง
มาจ ากก ิเลสข องเหล ่าโอปป าต ิกส ัตว์น ั่นเอง นานว ันเข้าก ายห ยาบก ็แ ปรเปลี่ยนส ภาพไปหลากห ลายข ึ้นอ ยู่ก ับ
อาหารที่กิน กลายเป็นส ัตว์และม นุษย์ มีรูปพ รรณส ัณฐานที่แ ตกต่างก ันไป ความคิดก ็แ ตกต่างเช่นเดียวกัน
เริ่มมีการแบ่งเพศแบ่งพวกเกิดขึ้น ชายและหญิงเริ่มสมสู่และมีลูกหลาน เกิดเป็นเผ่าพันธุ์ จากนั้นจึงมีการ
แบ่งแ ยกเขตแ ละด ินแ ดน และเพื่อท ำ�ให้ค นในส ังคมเป็นร ะเบียบเรียบร้อย มนุษย์จ ึงม ีก ารแ ต่งต ั้งห ัวหน้าเผ่า
ผู้นำ� หรือกษัตริย์ เพื่อด ูแลไม่ให้คนในสังคมล ักข โมยอ าหารหรือเอารัดเอาเปรียบก ัน
จากเรือ่ งต ้นก �ำ เนิดห รือว ิวัฒนาการข องม นษุ ยแ์ ละส งั คมข ้างต ้นซ ึ่งป รากฏในอ ัคคัญญส ูตร จะเหน็ ได้
ว่าในท างพ ุทธศ าสนาไมไ่ดม้ กี ารก ล่าวถ ึงก ารก ำ�เนิดข องภ าษาแ ละก ารส ื่อสารอ ย่างช ัดเจน อย่างไรก ็ตามผ ูอ้ ่าน
และพ ุทธศาสนิกชนสามารถอ นุมานได้จ ากเรื่องเล่าข ้างต ้นว ่า มนุษย์น่าจ ะม ีภ าษาเป็นข องต นเองแ ล้วเมื่อพ วก
เขาเริ่มแ บ่งแ ยกเผ่าพันธุ์และเลือกหัวหน้าเผ่า มิเช่นนั้นพวกเขาจ ะไม่สามารถสื่อสารหรือทำ�ความเข้าใจความ
คิดข องก ันแ ละก ันได้ ซึ่งแ ต่ละก ลุ่มแ ต่ละเผ่าพ ันธุ์ก ็ม ีภ าษาข องต นท ี่แ ตกต ่างก ันอ อกไป ดังน ั้นจ ึงเห็นได้ว ่าใน
ทางศ าสนาพ ุทธม คี วามเชือ่ ว ่า ภาษาแ ละก ารส ื่อสารเป็นส ิ่งท เี่กิดข ึ้นเองพ ร้อมก ับว ิวฒั นาการข องโลกแ ละส งั คม
มนุษย์ ซึ่งม ีความเป็นไปได้ว ่าภ าษาแ ละการส ื่อสารน่าจะมาพร้อมกับการป รากฏข ึ้นข องกายห ยาบข องมนุษย์