Page 18 - หลักการเรียนรู้ภาษาอังกฤษ และบริบททางภาษา
P. 18
8-8 หลักการเรียนรู้ภาษาอังกฤษและบริบททางภาษา
จากนั้นพระองค์ได้ทรงสอนให้อดัมรู้จักชื่อของสรรพสิ่งต่างๆ บนโลกนี้ และยังได้ทรงมีบัญชาให้
อดัมบอกชื่อดังกล่าวเหล่านั้นแก่บรรดาเหล่าทูตสวรรค์ทั้งหลายอีกด้วย ซึ่งปรากฏให้เห็นในบทอัล-บาคา
เราะห์ อายัตที่ 30-33 ดังน ั้น
And He taught Adam the names - all of them. Then He showed them to the angels and
said, “Inform Me of the names of these, if you are truthful.” They said, “Exalted are You; we
have no knowledge except what You have taught us. Indeed, it is You who is the Knowing,
the Wise.” He said, “O Adam, inform them of their names.” And when he had informed them
of their names, He said, “Did I not tell you that I know the unseen [aspects] of the heavens and
the earth? And I know what you reveal and what you have concealed.” (Quran.com, 2012)
เรื่องนี้สะท้อนให้เห็นว่าอดัมในศาสนาอิสลามสามารถเข้าใจภาษาพูดและสามารถสื่อสารได้ในวัน
แรกท ีเ่ขาก ำ�เนิดเช่นเดียวกัน จึงเห็นไดว้ ่าเรื่องเล่าท างศ าสนาส ่วนใหญม่ คี วามเชื่อว ่าม นุษยเ์ราเกิดม าก ับค วาม
สามารถในการใช้ภ าษาและก ารส ื่อสาร
ส�ำ หรบั ม มุ ม องข องน กั ภ าษาศาสตรท์ มี่ ตี อ่ ก ารก �ำ เนดิ ข องภ าษาแ ละก ารส ือ่ สารน ัน้ อ าจจ ะย งั ไมส่ ามารถ
หาข้อสรุปได้อย่างชัดเจนว่าภาษาและการสื่อสารเกิดครั้งแรกเมื่อใด และเกิดขึ้นได้อย่างไร แต่ก็มีทฤษฎี
มากมายท ีอ่ ธิบายเกี่ยวก ับก ารก ำ�เนิดข องภ าษา ตัวอย่างเช่น Bow-Wow Theory ทีเ่ชื่อว ่าภ าษาข องม นุษยเ์กิด
จากก ารล อกเลียนเสียงจ ากธ รรมชาติ เช่น เสียงข ู่ฟ ่อแ ละเสียงห ายใจห อบแ รงข องส ัตว์ หรือเสียงร ้องข องส ัตว์
เป็นต้น นอกจากนี้ยังม ี Pooh Pooh Theory ที่เชื่อว ่าภาษาเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นตามสัญชาตญาณข องม นุษย์ เช่น
เสียงร้องท ี่เกิดขึ้นจ ากความเจ็บป วด และยังม ี Ding Dong Theory ที่เชื่อว ่าภาษาพูดเกิดจากการที่มนุษย์
มีปฏิกิริยาตอบสนองต่อสิ่งแวดล้อมรอบตัว ตัวอย่างเช่น การออกเสียง “ma” หรือ “แม่” ซึ่งเป็นหนึ่งใน
ค ำ�พูดแ รกๆ ที่เด็กพ ูดได้น ี้ เป็นเสียงท ี่เกิดข ึ้นจ ากก ารใชร้ ิมผ ีป ากท ั้งบ นแ ละล ่างในก ารเปล่งเสียง ซึ่งน ่าจ ะเป็น
ผลม าจ ากก ารที่ท ารกใช้ร ิมฝ ีปากดูดน ม นอกจากนั้นยังมี Yo-he-ho Theory ที่มีสมมติฐานว ่าภาษาเกิดข ึ้น
เมื่อม นุษย์ท ำ�งานและม ีปฏิสัมพันธ์ร ะหว่างกัน ซึ่งก ารเคลื่อนไหวท างร ่างกายข องแต่ละฝ่ายก่อให้เกิดเสียงท ี่
เกดิ ข ึ้นในล �ำ คอ และน ำ�ไปส กู่ ารเปล่งเสียงท ีค่ ล้ายบ ทส วดห รอื บ ทเพลง จนท ำ�ใหเ้ กดิ เป็นภ าษาในท ี่สดุ ตวั อย่าง
ที่เห็นได้ชัดคือ แต่ละภ าษาต ่างมีก ารเน้นเสียงห นักเบาแ ละส ูงตํ่าแ ตกต ่างกันไป (Liza Das, 2006)
อยา่ งไรกต็ าม ในชว่ งท ศวรรษ 1960 นกั ภ าษาศาสตร์เลอื่ งชื่ออ ย่าง โนม ชอมสกี (Noam Chomsky)
ได้ตั้งสมมติฐานเอาไว้ว่า มนุษย์น่าจะเกิดมาพร้อมกับความสามารถในการเรียนรู้ไวยากรณ์ทางภาษาและ
การสื่อสารได้ตั้งแต่กำ�เนิด นั่นเป็นเพราะส่วนหนึ่งของสมองมนุษย์ทำ�งานเกี่ยวกับภาษาและไวยากรณ์โดย
เฉพาะ ชอมสกีเปรียบส ่วนนี้ของส มองว่าเป็น “a built-in language organ that contains this language
blueprint” (อ้างถ ึงใน Harrub, Thompson, & Dave, 2003) หรือเป็นชิ้นส ่วนท ี่มีมาแ ต่ก ำ�เนิด ซึ่งในสมอง
ส่วนนี้ประกอบด้วยพิมพ์เขียวในเรื่องภาษา เหตุที่ชอมสกีสันนิษฐานเช่นนี้เป็นเพราะเขาได้สังเกตเห็นว่า
เด็กเล็กมีความสามารถในการเรียนรู้คำ�ศัพท์และกฎการใช้ไวยากรณ์ต่างๆ ได้ด้วยตนเอง โดยที่ผู้ใหญ่ไม่
จำ�เป็นต ้องสอนพ วกเขา ความเชื่อดังกล่าวข องชอมสกีทำ�ให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์ก ันอย่างกว้างข วางในหมู่