Page 45 - ความรู้ทางสังคมศาสตร์และเทคโนโลยี สำหรับนักนิเทศศาสตร์
P. 45
ความรู้ดา้ นวัฒนธรรมและศาสนา 13-35
1. ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู
เป็นศาสนาที่เก่าแก่ของโลกและเก่าแก่ท่ีสุดในปัจจุบัน การก�ำเนิดศาสนาน้ียังเป็นข้อถกเถียงแต่
หลักฐานจากคัมภีร์คาดว่าน่าจะเกิดเมื่อประมาณ 3,500 ปีก่อน (Rosen, S., 2006: xvt) ศาสนานี้มี
ววิ ัฒนาการต่อเนื่องมานานจึงมชี ือ่ เรียกหลายชอ่ื เชน่ สนตธรรม (ศาสนาที่ด�ำรงอยเู่ ปน็ นิตย์) ไวทิกธรรม
(ธรรมทไี่ ด้จากพระเวท) อารยธรรม (ธรรมอนั ดงี าม) พราหมณ์ธรรม (คำ� สอนของพราหมณาจารย์) หนิ
ทธู รรมหรอื ฮนิ ดธู รรม (ธรรมทส่ี อนอหงิ สาหรอื ศาสนาฮนิ ด)ู การทศ่ี าสนาพราหมณ-์ ฮนิ ดเู ปน็ ศาสนาทเ่ี รยี ก
ควบกันสองชื่อคือ พราหมณ์ และ ฮินดู สืบเนื่องจากในตอนแรกเริ่มผู้ให้ก�ำเนิดศาสนามักเรียกตัวเองว่า
“พราหมณ์” ในระยะต่อมาศาสนาพราหมณ์เส่ือมลงและได้รับการฟื้นฟูพัฒนาข้ึนใหม่กลายเป็นศาสนา
ประจำ� ชาตขิ องชาวฮนิ ดู นบั แตน่ น้ั จงึ มกี ารนำ� คำ� วา่ ฮนิ ดู มาตอ่ ทา้ ย เรยี กวา่ ศาสนาพราหมณ-์ ฮนิ ดู อยา่ งไร
กด็ มี ขี อ้ สงสยั วา่ จะแยกทง้ั สองศาสนาออกจากกนั หรอื ไม่ ซง่ึ จากหลกั ฐานอาจตอบไดว้ า่ เปน็ ศาสนาเดยี วกนั
หรือคนละศาสนาก็ได้ การเป็นศาสนาเดียวกันนั้นเหตุผลคือ ศาสนาพราหมณ์เป็นรากฐานหรือคัมภีร์เก่า
ของฮินดู แต่หากแยกเป็นคนละศาสนาก็เพราะการนับถือคนละยุค ยุคแรกเป็นพราหมณ์แท้จนถึงสมัย
พุทธกาล ส่วนยคุ หลงั เป็นฮินดซู ึง่ อาจเรยี กว่าพราหมณใ์ หม่ (ทองหลอ่ วงษ์ธรรมา, 2551: 38)
ศาสนาพราหมณ-์ ฮนิ ดู เปน็ ศาสนาแบบพหเุ ทวนยิ ม ไมม่ ศี าสดาเปน็ ผปู้ ระกาศศาสนา เปน็ ศาสนา
ทส่ี บื มาจากคมั ภรี ์พระเวทซึ่งเชอ่ื วา่ ฤษหี รอื สทิ ธาในสมัยกอ่ นไดย้ ินมาจากพระเจา้ ผนู้ บั ถือจงึ เชือ่ ว่าศาสนา
พราหมณ์-ฮินดูนี้มาจากพระเจ้าคือ พระปรมาตมันหรือพระพรหม ลักษณะเด่นของศาสนานี้คือจารีต
พิธกี รรม ซ่งึ มใี นทกุ สถานทที่ ั้งในโบสถแ์ ละในทุกแง่มุมของชวี ิต จงึ อาจเรยี กวา่ ศาสนาแหง่ จารีตพธิ ีกรรม
และจารีตพธิ กี รรมตา่ งๆ เหล่าน้ีชาวไทยไดร้ บั เข้ามาเป็นสว่ นหน่งึ ของขนบธรรมเนียมประเพณไี ทย (กีรติ
บญุ เจอื , 2530: 111)
หลักค�ำสอนส�ำคัญของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู
พระเจา้ สงู สดุ ในศาสนาพราหมณ-์ ฮนิ ดู คอื พระปรมาตมัน (Paramataman) เรยี กในนามอนื่ วา่
พรหม (Brahma ) อาตมนั หรอื อัตตาพรหม (Atman) หรือสัต (Sat) เปน็ เทพเจา้ สงู สดุ ไม่มีตัวตน ไมม่ ี
รปู ร่าง เมอื่ ประสงคจ์ ะสร้างโลก กก็ ลายเปน็ มีสาการภาพคือมีอาการและเป็น “ตรยรปู ” (สามรปู ) ไดแ้ ก่
พระพรหมธาดา (ผสู้ รา้ งโลก) พระนารายณห์ รอื พระวษิ ณุ (ผบู้ รหิ าร/ผรู้ กั ษา) และพระศวิ ะ หรอื พระอศิ วร
(ผู้ทำ� ลาย) เมอื่ สามองค์มารวมจะเป็นปรมาตมนั ผไู้ ม่มรี ูปกาย แต่หากผู้ใดจะมจี ิตศรัทธาท้งั 3 พระองค์
หรอื องคห์ นง่ึ องคใ์ ดกไ็ ด้ แตต่ อ้ งปฏบิ ตั ติ ามค�ำสงั่ สอนของคมั ภรี พ์ ระเวทอยา่ งเครง่ ครดั เทพเจา้ ของศาสนา
พราหมณ-์ ฮนิ ดูนแ้ี ตล่ ะองค์มหี ลายปาง ดงั นั้นจงึ มีเทพเจ้าจำ� นวนมากและเพ่มิ ขนึ้ เร่ือยๆ แต่ทิ้งหลกั ไม่ได้
ว่าเทพเจ้าท่ีรู้แล้วหรือยังไม่รู้ในอนาคตเป็นส่วนหนึ่งของพระปรมาตมัน จึงถือว่ามีเอกภาพในพหุภาพคือ
มีเทพเจา้ องค์เดยี วในรูปร่างตา่ งๆ กัน (กรมการศาสนา, 2556: 151-153)
ศาสนาพราหมณ์ -ฮินดมู คี ัมภรี ์ส�ำคัญ คอื คัมภีร์พระเวท ในขน้ั ต้นมกี ารรวบรวมไว้สามคมั ภีร์
เรียกว่า ไตรเวท ต่อมามีการรวมคมั ภีร์ท่สี ี่เรยี กว่า จตุรเวท ประกอบด้วย
1) ฤคเวท เปน็ คมั ภีรท์ างศาสนาทเี่ กา่ แกท่ ่สี ดุ ในโลก เป็นประมวลบทสวดสรรเสริญพระเปน็ เจ้า
กลา่ วถึงเทพและช่อื ของเทพทง้ั หลาย อิทธิฤทธิข์ องเทพเจ้าและธรรมชาติ ประวัติการสร้างโลก ความรอ้ น
กบั ความหนาวเยน็ หน้าทข่ี องพระพรหมผ้สู รา้ งโลก