Page 47 - ความรู้ทางสังคมศาสตร์และเทคโนโลยี สำหรับนักนิเทศศาสตร์
P. 47

ความรดู้ ้านวัฒนธรรมและศาสนา 13-37
       โดยรวมแล้วผู้นับถือศาสนาพราหมณ์-ฮินดู มีความเชื่อในเร่ืองของสังสารหรือการเวียนว่าย
ตายเกิด เช่อื ในเรื่องของกรรม และการหลุดพ้นเพื่อรวมเปน็ หน่ึงกบั ปรมาตมัน
       นิกายส�ำคัญของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู มีหลายนิกาย เช่น นิกายไวษณพ เป็นนิกายที่เก่าแก่
ทสี่ ดุ นบั ถอื พระวษิ ณุ / พระนารายณ์ เปน็ เทพเจา้ สงู สดุ นกิ ายไศวะ นบั ถอื พระศวิ ะเปน็ เทพเจา้ สงู สดุ และ
นิกายศกั ติ เป็นนกิ ายท่ีนบั ถือพระเทวหี รือพระชายาของมหาเทพ เช่น พระอมุ า พระสรัสวดี โดยเฉพาะ
พระอมุ าเทวพี ระมเหสขี องพระศวิ ะ เป็นต้น

2. 	ศาสนาพุทธ

       เกดิ ขนึ้ ในประเทศอนิ เดยี เมอ่ื ประมาณ 2,500 ปที ผี่ า่ นมา เปน็ ศาสนาแบบอเทวนยิ มลกั ษณะเดน่
เป็น ศาสนาแห่งการวิเคราะห์ กล่าวคอื การวิเคราะห์ท้งั ความเป็นจริงและขอ้ ธรรมโดยละเอียด เชน่ มีการ
วเิ คราะหธ์ รรมะออกเปน็ ขอ้ ๆ ในการอธบิ ายธรรมะขอ้ ใดขอ้ หนง่ึ จะมกี ารอา้ งถงึ ธรรมะขอ้ อนื่ ๆ เกย่ี วโยงกนั
ไปทง้ั ระบบ ซง่ึ วธิ กี ารเชน่ นม้ี กี ารกระทำ� ในบางสำ� นกั ของฮนิ ดหู ากแตไ่ มเ่ ดน่ ชดั เทา่ กบั วธิ กี ารวเิ คราะหข์ อง
ศาสนาพทุ ธ (กรี ติ บุญเจอื , 2530: 121) ความคดิ หลกั คอื ธรรมหรอื ธรรมชาติ ดังนนั้ จงึ มคี �ำกลา่ ววา่ ศาสนา
พุทธเป็นศาสนาแบบธรรมชาตินิยม ไม่เชื่อในพระเจ้าว่าทรงสร้างโลกแต่เชื่อว่าโลกด�ำเนินไปตามกฎ
ธรรมชาตทิ เ่ี รยี กวา่ ไตรลกั ษณ์ คอื การทส่ี ง่ิ ตา่ งๆ ไมค่ งทมี่ กี ารเปลยี่ นแปลง เกดิ ขนึ้ ตง้ั อยแู่ ละดบั ไป (ปรชี า
ชา้ งขวญั ยนื และสมการ พรมทา, 2556: 134-135)

       พระศาสดาแห่งศาสนาพุทธคือ พระพุทธเจ้า มีพระนามเดิมว่าเจ้าชายสิทธัตถะ (หมายถึง
ผปู้ รารถนาสงิ่ ใดกไ็ ดส้ มความปรารถนา) เปน็ พระราชโอรสของพระเจา้ สทุ โธทนะผคู้ รองกรงุ กบลิ พสั ดแ์ุ ละ
พระนางสริ มิ หามายา ประสตู เิ มอื่ วนั ขน้ึ 15 คำ�่  เดอื น 6 ปจี อ กอ่ นพทุ ธศกั ราช 80 ปี ณ ลมุ พนิ วี นั ปจั จบุ นั
เรียกว่า “รุมมินแด” ระหว่างเมืองกบิลพัสดุ์และเมืองเทวทหะ (ซ่ึงเป็นบ้านเมืองเดิมของพระนางสิริมหา
มายา)

       อสติ ดาบสและพราหมณท์ งั้ หลายไดท้ ำ� นายไวว้ า่ ถา้ ทรงครองราชยจ์ ะเปน็ พระมหาจกั รพรรดแิ ละ
หากทรงผนวชจะเป็นศาสดาเอกของโลก เม่อื พระชนมพรรษาได้ 8 พรรษาทรงเข้ารับการศึกษาในส�ำนกั
ครูวิศวามิตร มีพระปรชี าในด้านการศกึ ษาสามารถเรยี นจบอยา่ งรวดเร็ว พระบิดาไมป่ ระสงค์ให้ทรงผนวช
จงึ ทรงทำ� ทกุ อยา่ งใหท้ รงพอพระทยั ในทางโลก เมอ่ื พระชนม์ 16 พรรษา พระราชบดิ าทรงสรา้ งปราสาท 3
หลังให้เหมาะแก่ ฤดูร้อน ฤดูฝน และฤดูหนาว และทรงจัดงานอภเิ ษกสมรสระหวา่ งเจ้าชายสทิ ธตั ถะกับ
เจา้ หญงิ พมิ พา (ญโสธรา) พระธดิ าของพระเจา้ สปุ ปพทุ ธะแหง่ กรงุ เทวทหะ เมอื่ พระชนมพรรษา 29 พรรษา
ทรงมีราชโอรสองคห์ นึ่งพระนามว่าราหุล (หมายถึงบ่วงหรือเครอ่ื งผูกมดั )

       ในวนั หนงึ่ ขณะเสดจ็ ประพาสอทุ ยานทรงเหน็ คนแก่ คนเจบ็ คนตาย และสมณะ จงึ ทรงพจิ ารณา
ถงึ ชวี ติ สาเหตแุ หง่ ทกุ ข์ ทรงเบอ่ื หนา่ ย และในเวลากลางคนื ไดท้ รงมา้ กณั ฐกะมอี ำ� มาตยช์ อ่ื ฉนั ทะตามเสดจ็
เมื่อถงึ ฝั่งอโนมานทีทรงตดั พระเกศาและอธิษฐานบรรพชา และรับสง่ั ใหน้ ายฉันทะนำ� ม้ากลบั พระนคร

       ในข้ันแรกทรงบ�ำเพ็ญทุกรกิริยาแต่ทรงพบว่าไม่ใช่ทางแห่งการตรัสรู้จึงตัดสินพระทัยเลิกการท�ำ
วธิ ดี งั กลา่ ว ในชว่ งทท่ี รงบำ� เพญ็ ทกุ รกริ ยิ านน้ั มพี ราหมณ์ 5 รปู หรอื ตอ่ มารจู้ กั กนั ในชอื่ ปญั จวคั คยี ์ ไดแ้ ก่
โกณทัณญะ วัปปะ ภัททิยะ มหานามะ และอัสสชิ ได้มาพบพระองค์และเห็นว่าทรงมีลักษณะตามค�ำ
   42   43   44   45   46   47   48   49   50   51   52