Page 48 - ความรู้ทางสังคมศาสตร์และเทคโนโลยี สำหรับนักนิเทศศาสตร์
P. 48

13-38 ความรทู้ างสงั คมศาสตร์และเทคโนโลยสี ำ� หรบั นักนิเทศศาสตร์
พยากรณข์ องพราหมณท์ จ่ี ะทรงสำ� เรจ็ เปน็ พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ จงึ ไดข้ อเปน็ บวชศษิ ยแ์ ตเ่ มอื่ ทรงเลกิ บ�ำเพญ็
ทกุ ขกริ ยิ า พราหมณท์ ั้งหา้ จึงคิดว่าพระองค์คงไมม่ ที างตรสั รู้และพากนั เดนิ ทางต่อไป   หลังจากทรงกลบั
มาเสวยพระกระยาหารและทรงกระท�ำความเพียรโดยนับจากบรรพชามาเป็นเวลา 6 ปี ต�ำนานเลา่ วา่ ใน
วันขน้ึ 15 ค�่ำ  เดอื น 6 กอ่ นพทุ ธศกั ราช 45 ปี ซง่ึ ตรงกับวันประสูตขิ องพระองค์ ไดเ้ สด็จประทับใตต้ น้
มหาโพธิ์ ริมฝ่งั แมน่ ำ้� เนรัญชรา ทรงหนั พระพกั ตรไ์ ปทางทิศตะวนั ออก แล้วทรงอธษิ ฐานวา่ หากไมบ่ รรลุ
โพธญิ าณจะไมล่ กุ ขนึ้ แมเ้ นอ้ื และเลอื ดจะแหง้ ไป ในคนื นน้ั ทรงเจรญิ สมถภาวนา ทำ� สมาธแิ นว่ แนจ่ นบรรลุ
พระนพิ พานและทรงไดพ้ ระนามใหมว่ า่ พระอรหนั ต์ หมายถงึ ผหู้ า่ งไกลจากกเิ ลสและตรสั รชู้ อบดว้ ยพระองค์
เอง

       พระพทุ ธเจา้ ทรงเสวยวมิ ตุ ตสิ ขุ ใตร้ ม่ พระมหาโพธเ์ิ ปน็ เวลา 7 วนั แลว้ จงึ เสดจ็ ไปประทบั ในบรเิ วณ
ใกลก้ ับตน้ ศรมี หาโพธอ์ กี 7 แหง่ แหง่ ละ 7 วนั รวมเปน็ เวลา 49 วัน จากน้นั ทรงพิจารณาว่า มนุษย์มี 4
ประเภท ดังบัว 4 เหล่า พวกแรก “อุคติตัญญู” คือ มีปัญญาดีมีอุปนิสัยน้อมไปเพื่ออยากรู้ย่อมเข้าใจ
ค�ำสอนได้เร็ว เปรียบดังบัวบานเต็มที่ พวกสอง “วิปจิตัญญู” สามารถเรียนรู้ได้แต่ช้ากว่าพวกแรกต้อง
อาศยั การขยายความ เปรยี บไดก้ บั บวั เสมอระดบั นำ�้  พวกทส่ี าม “เนยยะ” คอื อาจเรยี นรคู้ ำ� สอนไดแ้ ตต่ อ้ ง
ฟัง ทบทวน ทอ่ งจ�ำใหม้ าก ดงั บวั ในน�้ำ ส่วนพวกสดุ ทา้ ยคือ “ปทปรมะ” เปรยี บไดก้ ับบัวใต้ตม คอื บคุ คล
ผไู้ มอ่ าจเข้าใจธรรมวิเศษท้งั ๆ ทม่ี ีปัญญา เปน็ ความเหนอื่ ยเปล่าที่จะสอน

       ต�ำนานได้เล่าถึงการน�ำเอาเมตตาธรรมมาเป็นที่ต้ังในการสอน และทรงตัดสินพระทัยประกาศ
ศาสนา ดังนัน้ สองเดอื นนับจากท่ที รงตรัสร้แู ลว้ จงึ เสดจ็ ไปโปรดสาวกทงั้ 5 คือปญํ จวัคคยี ์ ณ ป่าอิสปิ ตน
มฤคทายวัน เมอื งพาราณสี ในวนั ขึ้น 15 คำ�่ เดือนอาสาหะ (เดือน 8) ตอ่ มาเรียกว่า “วนั อาสาฬหบชู า”
ทรงแสดงปฐมเทศนา ธรรมทท่ี รงแสดงในวาระน้นั ได้แก่ “พระธรรมจกั รกปั ปะวตั นสูตร” ซง่ึ ประกอบด้วย
สาระส�ำคัญสามประการคือ ท่ีสุดสองอย่างที่บรรชิตไม่ควรปฏิบัติ มรรค และอริยสัจ 4 พระธรรมเทศนา
นั้นทำ� ให้ พราหมณโ์ กณฑญั ญะไดด้ วงตาเหน็ ธรรมและทลู ขอผนวช เปน็ พระภกิ ษรุ ปู แรก จงึ เปน็ วนั ทพี่ ระ
รัตนตรัยครบองค์ คอื พระพุทธ พระธรรมและ พระสงฆ์ หลงั จากน้ันพราหมณท์ ี่เหลือได้เห็นธรรมและขอ
บวช พระพทุ ธเจา้ ไดท้ รงแสดงธรรมเผยแผศ่ าสนาเปน็ ระยะเวลา 45 ปี นบั ตง้ั แตท่ รงตรสั รเู้ มอื่ พระชนมายุ
35 พรรษาจนเขา้ สู่พระปรนิ ิพพาน ณ เมืองกุสนิ ารา ในวนั ขน้ึ 15 ค�่ำ เดอื น 6 กอ่ น พทุ ธศก 1 ปี เมื่อ
พระชนมายุ 80 พรรษา

       หลักค�ำสอนส�ำคัญของศาสนาพุทธ
       คำ� สอนในพระพทุ ธศาสนาไดร้ บั การประมวลไวใ้ น พระไตรปฎิ ก ประกอบดว้ ยคมั ภรี ส์ ำ� คญั 3 ปฎิ ก
คอื พระวินัยปิฎก ซง่ึ เกย่ี วกบั วนิ ยั หรอื ขอ้ ปฏบิ ตั เิ กย่ี วกบั ความประพฤตขิ องพระสงฆแ์ ละภกิ ษณุ ี พระสุต
ตันตปิฎกเป็นปิฎกท่ีว่าด้วยพระสูตรหรือเป็นพระธรรมค�ำส่ังสอนของพระพุทธเจ้าตั้งแต่ตรัสรู้จนเข้าสู่พระ
นพิ พาน พระอภิธรรมปิฎกเป็นหมวดว่าดว้ ยหลักธรรมทไ่ี มเ่ ก่ียวขอ้ งกับเหตกุ ารณ์หรือบคุ คล พระสาวก
ได้จดจ�ำและถ่ายทอดต่อกันมาน�ำมาส่ังสอนประชาชน ค�ำส่ังสอนน้ันกระจัดกระจายและมีการตีความ
แตกต่างกันจนแยกเป็นนกิ ายต่างๆ ต่อมาจงึ มกี ารประมวลเป็นหมวดหมู่เรียกวา่ การสังคายนา หมายถึง
การประชมุ สงฆ์ เพอื่ ใหม้ แี นวปฏบิ ตั ใิ นแนวเดยี วกนั พระไตรปฎิ กมเี นอื้ ความทง้ั หมดของพทุ ธศาสนามาก
   43   44   45   46   47   48   49   50   51   52   53