Page 51 - ความรู้ทางสังคมศาสตร์และเทคโนโลยี สำหรับนักนิเทศศาสตร์
P. 51
ความรู้ด้านวัฒนธรรมและศาสนา 13-41
ยดู าสาวกเปน็ ผใู้ หส้ ญั ญานวา่ พระองคค์ อื พระเยซู ทรงถกู พพิ ากษาดว้ ยคณะกรรมการของนกั บวชยวิ แลว้
พวกทหารโรมันได้น�ำพระองค์ไปยังต�ำบลโกลโกธา ซึ่งเป็นสถานที่ประหาร โดยน�ำพระเยซูตรึงกับไม้
กางเขนเป็นการทรมานให้ตายชา้ ๆ จนสน้ิ พระชนม์ ณ ทนี่ ้ัน รวมอายุได้ 33 ปี
มีข้อความเล่าถึงอภินิหารว่า ขณะน้ัน (เวลาท่ีถูกตรึง) เป็นเวลาเที่ยงวัน ได้เกิดความมืดมัวท่ัว
ทกุ สารทศิ ทอ้ งฟา้ และแผน่ ดนิ วปิ รติ ตดิ ตอ่ กนั 3 วนั หลงั จากนน้ั ทหารโรมนั ไดน้ ำ� พระองคไ์ ปฝงั พอถงึ วนั
อาทติ ยผ์ คู้ นไปสกั การะพบหนิ กอ้ นทป่ี ดิ หลมุ ฝงั ศพอยใู่ นลกั ษณะเคลอ่ื นทแ่ี ละไมเ่ หน็ ศพในหลมุ เปน็ ความ
เชื่อในหมู่ชาวคริสต์วา่ ทรงเสดจ็ สูส่ วรรค์และหลังจากสิน้ พระชนม์เปน็ เวลา 3 วนั ทรงฟ้ืนคืนชพี และทรง
อยู่ในโลกอีก 40 วัน ทรงสนทนาเรื่องส้ินโลกและโลกใบใหม่ของพระเจ้าคือสวรรค์ ทรงตรัสว่า จงไปท่ัว
โลก ทุกประเทศ บอกคนท้ังปวงเร่ืองของเรา ผู้ใดทูลพระเจ้าว่าเขาเสียใจที่ท�ำชั่วและมาเช่ือเรา จะได้ไป
สวรรค์ หากไมเ่ ชอ่ื เขาจะตายเนือ่ งจากจิตใจช่วั ชา้ จะตอ้ งตกนรก
นับแต่พระเยซูส้ินพระชนม์ การเผยแพร่ศาสนาคริสต์ท่ีกรุงโรมในระยะนั้นไม่เป็นที่เล่ือมใส ในปี
ค.ศ. 64 กรุงโรมถูกไฟเผาครงั้ ใหญ่กนิ เวลา 7 คนื จกั รพรรดไิ ด้กล่าวหาวา่ พวกชาวครสิ ตเ์ ป็นผ้วู างเพลงิ
และถูกลงโทษในรูปแบบต่างๆ เช่น เผาทั้งเป็นในอุทยานวาติกัน และมีการฆ่าชาวคริสต์ที่รุนแรงในสมัย
จักรพรรดโิ ดซอิ สุ (ค.ศ. 250-253) และในสมยั จกั รพรรดไิ ดโอคลเี ซียน (ค.ศ. 294-305) ในระยะ 300 ปี
ทผ่ี า่ นมานนั้ มชี าวครสิ ตถ์ กู ประหารชวี ติ และทารณุ กรรมไมน่ อ้ ยกวา่ 1 แสนคน แตก่ ไ็ มท่ �ำใหเ้ กดิ ความกลวั
เพราะถือเป็นการสละชวี ติ เพ่ือศาสนา
ตอ่ มาปลายสมยั ของจกั รพรรดกิ าเลดอิ สุ ในปี ค.ศ. 311 จึงมีประกาศพระราชโองการอนุญาตให้
ชาวโรมันนับถือศาสนาคริสตไ์ ด้ และต่อมา ใน ค.ศ. 392 จกั รพรรดิธโี อดอดิอุสที่ 1 มพี ระบรมราชโองการ
ใหศ้ าสนาครสิ ตเ์ ปน็ ศาสนาประจำ� ชาตขิ องจกั รวรรดโิ รมนั นบั แตน่ น้ั การเผยแพรศ่ าสนาครสิ ตไ์ ดแ้ พรข่ ยาย
อยา่ งรวดเร็วทว่ั ทวปี ยโุ รป รวมไปถึงทวีปเอเชยี และแอฟรกิ า (ทองหล่อ วงค์ธรรมา, 2551: 173-174)
หลักค�ำสอนส�ำคัญของศาสนาคริสต์
ค�ำสอนของชาวคริสต์ปรากฏในคัมภีร์ไบเบิลที่อาจเรียกว่า พระคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ (The Holy
Scripture) แบ่งออกเปน็ 2 ภาคคือ ภาคพนั ธสญั ญาเดมิ (The Old Testament) เป็นภาคท่รี บั มาจาก
ศาสนายูดาย และภาคพันธสัญญาใหม่ (The New Testament) ซง่ึ บันทึกชวี ติ และคำ� สอนของพระเยซู
คมั ภรี ภ์ าคพนั ธสญั ญาเดมิ (The Old Testament) เปน็ คมั ภรี เ์ กา่ ของยวิ เกดิ กอ่ นสมยั ครสิ ตกาล
ยวิ เรียกคัมภรี ์ของตนว่า ตานกั (Tanak) นิกายคาธอลคิ ยอมรับ 46 เล่ม สว่ นโปรเตสแตนสย์ อมรบั 36
เล่ม ในภาคน้แี บง่ ตามเน้ือหาได้ 3 หมวด คอื
หมวดแรกเป็นพระธรรมบัญญัติ (Law or Torah) เก่ียวข้องกับ พิธีกรรมและกฎหมาย ได้แก่
หลกั ในการปฏบิ ัติตอ่ เพือ่ นมนุษยต์ ั้งแต่เกดิ จนตาย ทส่ี ำ� คญั ทีส่ ดุ คือ พระบญั ญัติ 10 ประการ (The Ten
Commanment)
หมวดทส่ี องเปน็ หมวดวรรณกรรม (Writing or Kethubhim) เกย่ี วขอ้ งกบั ตำ� นานธรรมซง่ึ เปน็
กวีนิพนธ์ ท่ีมุ่งสรรเสริญพระเจ้าและเกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์โดยเป็นการบันทึกเหตุการณ์ต่างๆ ใน
ลกั ษณะพงศาวดาร