Page 46 - ความรู้ทางสังคมศาสตร์และเทคโนโลยี สำหรับนักนิเทศศาสตร์
P. 46

13-36 ความรทู้ างสังคมศาสตรแ์ ละเทคโนโลยีสำ� หรบั นกั นเิ ทศศาสตร์
       2) 	ยชุรเวท เป็นคัมภีร์ที่กล่าวถึงระเบียบวิธีในการประกอบพิธีกรรม การบูชาและวิธีบูชาเทพ

ต่างๆ ใชเ้ ปน็ ค่มู อื พราหมณ์ในการท�ำพธิ บี ูชายญั
       3) 	สามเวท เปน็ คมั ภีร์ทป่ี ระมวลบทร้อยกรองแสดงนาฏศาสตรห์ รือศิลปศาสตร์ ค�ำฉันทเ์ หล่านี้

มไี วเ้ พอื่ สวดในพธิ ยี ัญกรรมหรือถวายน้�ำโสมแดพ่ ระเจ้า
       4) 	อถรรพเวทหรืออาถรรพเวท เปน็ คมั ภรี ท์ ป่ี ระมวลเวทมนตร์ คาถาอาคมตา่ งๆ เพอื่ รกั ษาโรค

ภยั สวดเพอ่ื ท�ำพธิ ีที่สรา้ งความเป็นสิรมิ งคลหรอื นำ� สิ่งไมด่ ไี ปบังเกิดแก่ศตั รู
       คมั ภรี พ์ ระเวททงั้ 4 เลม่ น้ี ภายหลงั ไดม้ กี ารปรบั ปรงุ เนอื้ หา ในสมยั หลงั ผนู้ บั ถอื ศาสนาพราหมณ-์

ฮินดูจะนิยมอาถรรพเวทมากที่สุด คัมภีร์ทั้งหมดแบ่งได้สองประเภทคือ คัมภีร์ที่กล่าวกันว่ามาจากโอษฐ์
พระเจ้าเรียกว่า ศรุติ เช่น พระเวททั้ง 4 และคัมภีร์ท่ีแต่งเติมภายหลังเพื่ออธิบายพระเวทหรือประกอบ
พระเวทซึ่งจดจ�ำจากคำ� บอกเล่าต่อๆ กนั มา เช่น คัมภีรธ์ รรมศาสตร์ คมั ภีรอ์ ติ หิ าสะ คมั ภีร์ปุรานะ

       จุดมุ่งหมายของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู คือ การหลุดพ้นจากกิเลสและกองทุกข์ และกลายเป็น
เอกภาพ เป็นหนึ่งเดียวกับพระพรหม ที่เรียกว่า โฆษคติ คือทางแห่งการหลุดพ้น หลักค�ำสอนส�ำคัญจึง
ได้แก่ ปรมาตมันและหลักโฆกษะ

       1) 	ปรมาตมัน หมายถงึ ส่ิงยิง่ ใหญท่ ่ีเรียกว่า “พรหม” เป็นทร่ี วมของสรรพสิ่งในโลก ปรมาตมัน
กับพรหมจึงหมายถึงสิง่ เดียวกัน วิญญาณของสัตว์โลกทั้งหลาย (อาตมัน) คอื สว่ นที่แยกมาจากวญิ ญาณ
รวมของพรหม (ปรมาตมนั ) เม่อื แยกออกมาแล้วจะไปสิงสถติ ในสิ่งมชี วี ติ ตา่ งๆ (เทวดา มนุษย์ สัตว์ พชื )
ตามแตผ่ ลกรรมทไ่ี ดก้ ระทำ� ไว้ และเวยี นวา่ ยตายเกดิ (ผจญทกุ ข)์ ตราบเทา่ ทยี่ งั ไมส่ นิ้ กรรมซง่ึ ถอื เปน็ ทกุ ข์
ทงั้ สน้ิ

       2)	 หลักโฆกษะ เป็นหลักความดีสูงสุดของศาสนานี้ มีค�ำสอนว่า ผู้ใดรู้แจ้งในอาตมันของตนว่า
เปน็ โลกพรหมแลว้ ผนู้ นั้ ยอ่ มพน้ จากสงั สารเวยี นวา่ ยตายเกดิ และจะไมป่ ฏสิ นธอิ กี เลย หลกั โฆกษะประกอบ
ดว้ ยสาระสำ� คญั 2 ประการคอื ประการแรก เปน็ การนำ� อาตมนั เขา้ สปู่ รมาตมนั ดว้ ยการปฏบิ ตั ธิ รรมใหห้ ลดุ
พน้ วฏั สงสารแหง่ ชวี ติ และรวมวญิ ญาณของตนเขา้ กบั ปรมาตมนั ทเ่ี ปน็ ปฐมวญิ ญาณ สาระสำ� คญั ประการที่
สองคอื วธิ กี ารปฏบิ ตั เิ พอ่ื เขา้ ถงึ โฆกษะ มหี ลกั ปฏบิ ตั ิ 3 ประการดว้ ยกนั กลา่ วคอื กรรมมรรค (กรรมโยคะ)
ชญานมรรค (ชญานโยคะ) และภกั ดมิ รรค (ภกั ดโี ยคะ)

       กรรมมรรค (กรรมโยคะ) เปน็ คำ� สอนใหป้ ระกอบแตค่ วามดเี พอื่ ดบั ความปรารถนาอนั เปน็ บอ่ เกดิ
แห่งกรรม ทั้งน้ีความดีท่ีจะกระท�ำต้องประกอบด้วยลักษณะส�ำคัญ 2 ประการคือ ชญานมรรค (ชญาน
โยคะ) หมายถึงการกระท�ำด้วยปัญญา ความรู้แจ้ง จิตที่บริสุทธ์ เพ่ือประโยชน์ส่วนรวมและไม่เกิดโทษ
(ทุกข)์ แกผ่ ใู้ ด ชญานมรรค ได้เน้นความส�ำคัญของศีล สมาธแิ ละปญั ญาไวด้ ้วย ส่วนลักษณะความดีอีก
ประการคือภกั ดิมรรค (ภักดโี ยคะ) หมายถึงมคี วามต้งั ใจ รบั ใช้ด้วยความจงรักภกั ดตี อ่ ภาระหน้าที่รบั ผิด
ชอบ ถือหลักว่า สิ่งมีชีวิตทั้งปวงถือก�ำเนิดจากพรหม มีวิญญาณของพรหมสิงสถิตอยู่ ผู้ท่ีให้ความเห็น
แนะนำ�  ชว่ ยเหลอื สง่ิ มชี วี ติ ทง้ั ปวงเปน็ ผแู้ สดงออกถงึ ความจงรกั ภกั ดตี อ่ พรหม ยอ่ มทจี่ ะสมความปรารถนา
คือการไดพ้ บพรหม มแี นวทางปฏบิ ตั ิ 9 ประการ คือ การฟงั การประกาศเกยี รติคณุ การหม่ันไตร่ตรอง
การปฏบิ ตั ติ ามคำ� สอน การสักการบชู า การกราบไหว้ การไม่ละเมิดคำ� สงั่ สอนและความเปน็ มิตรและมอบ
ทกุ อย่างแมต้ นแกพ่ รหมได้ (มนต์ ทองชัช, 2556: 28-30)
   41   42   43   44   45   46   47   48   49   50   51