Page 27 - ปัญหาการพัฒนาชนบทไทย
P. 27

สภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจกับการพัฒนาชนบทไทย 6-17

       อีกประเด็นเกี่ยวกับสถานการณ์การผลิตในชนบทที่ต้องพิจารณาคือบทบาทของบรรษัทอาหารขนาดใหญ่ใน
การผกู ขาดและควบคมุ วถิ กี ารผลติ ของคนชนบท กลา่ วคอื เกษตรกรในชนบทตอ้ งพึง่ พงิ ปจั จยั การผลติ เทคโนโลยแี ละ
การตลาดที่บรรษัทเหล่านั้นมีส่วนสำ�คัญในการกำ�หนดกระทั่งเกษตรกรไม่สามารถกำ�หนดชะตาชีวิตทางเศรษฐกิจของ
ตนเองได้ นอกจากนั้น ระบบการผลิตในชนบทยังเชื่อมโยงกับทิศทางนโยบายภาครัฐและเครือข่ายอุปถัมภ์ในท้องถิ่น
ในสว่ นของทศิ ทางนโยบายภาครฐั นัน้ เกีย่ วขอ้ งกบั พชื เศรษฐกจิ ทีร่ ฐั สง่ เสรมิ การรบั จ�ำ น�ำ  การประกนั ราคา ฯลฯ ในสว่ น
ของเครือข่ายอุปถัมภ์ในท้องถิ่นเกี่ยวข้องกับการพึ่งพิงผู้มีอำ�นาจและนายทุนในระดับท้องถิ่น เช่น โรงสี โรงงานรับซื้อ
ผลผลิต ฯลฯ ซึ่งไม่เพียงรับผลผลิตจากเกษตรกรเท่านั้น หากแต่บางครั้งให้ความอุปถัมภ์ เช่น ให้กู้ยืมนอกระบบและ
อะลุ่มอล่วยหรือยืดหยุ่นหลักเกณฑ์ให้เพื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้าต่าง ๆ

       ทั้งนี้ มีแนวคิดในการอธิบายเครือข่ายอุปถัมภ์ดังกล่าวข้างต้นอยู่สองแนวซึ่งสามารถอธิบายสภาพชนบทไทย
ได้ แนวคิดแรกเสนอโดย James Scott (1979) ซึ่งวิเคราะห์ว่าเกษตรกรในชนบทต้องการลดความเสี่ยงและความไม่
แน่นอนด้วยการพึ่งพิงเครือข่ายอุปถัมภ์ดังกล่าวหรือในอีกแง่หนึ่งคือเครือข่ายอุปถัมภ์เป็นสิ่งจำ�เป็นสำ�หรับพวกเขา
ในการปกป้องคุ้มครองจากความเสี่ยงและความไม่แน่นอนต่าง ๆ ภายใต้เงื่อนไขสำ�คัญที่ว่าเครือข่ายอุปถัมภ์นั้นจะ
ต้องใช้หลักเศรษฐศาสตร์ที่มีคุณธรรม (Moral Economy) กล่าวคือ ไม่ขูดรีด ไม่เอารัดเอาเปรียบ และมีเมตตาต่อ
พวกเขา ในลักษณะเช่นเดียวกันกับคนแข็งแรงดูแลคนที่อ่อนแอกว่า ในทางตรงกันข้าม Samuel Popkin (1979)
เสนออีกแนวคิดหนึ่งที่อธิบายว่าเกษตรกรมีเหตุมีผล (Rational Peasant) พวกเขาตัดสินใจและรับความเสี่ยงทาง
ด้านการลงทุนผลิตและการคาดการณ์ตลาดได้ด้วยตัวเองโดยไม่จำ�เป็นต้องพึ่งพิงเครือข่ายอุปถัมภ์ หนำ�ซํ้าพวกเขายัง
ต่อตา้ นการกดขี่จากเครอื ขา่ ยอุปถมั ภ์โดยมองว่าเครือขา่ ยดงั กล่าวใหโ้ ทษมากกวา่ ให้คณุ ซึ่งในชนบทไทยก็มีเกษตรกร
ที่คิดเช่นนี้ไม่น้อยเช่นกัน

       เมื่อย้อนมาพิจารณาปัญหาหลักของการผลิตในชนบท จะพบว่าการเข้าถึงปัจจัยการผลิตเป็นประเด็นใหญ่
ที่สุด โดยภายหลังจากเกิดการปฏิวัติเขียว (ตั้งแต่แผนพัฒนาเศรษฐกิจฯ ฉบับแรกเป็นต้นมา) การทำ�เกษตรในชนบท
เป็นการทำ�เกษตรเชิงพาณิชย์อย่างเต็มที่ ทำ�ให้ต้องการการลงทุน แรงงาน ที่ดิน และเครื่องจักรในการผลิตเพื่อให้ได้
ผลิตผลสูงสุด เมื่อเงินทุนกลายเป็นปัจจัยการผลิตสำ�คัญทำ�ให้เกษตรกรเริ่มต้นจากการก่อหนี้ ซึ่งท่ามกลางความไม่
แน่นอน การแข่งขันที่สูง และความผันผวนของตลาดเกษตรโลก ทำ�ให้พวกเขาไม่มีกำ�ไรหรือแม้แต่ขาดทุนจนไม่มี
เงินมาใช้คืนและต้องตกอยู่ภายใต้วงจรหนี้ดังได้กล่าวถึงไปก่อนหน้า จนท้ายที่สุดต้องเสียปัจจัยการผลิตอีกประเภท
ไปนั่นคือที่ดินจากการถูกยึดหรือขายเพื่อเอามาใช้หนี้ ซึ่งหลังจากนั้นเกษตรกรกลุ่มนี้จะกลายมาเป็นแรงงานรับจ้างทำ�
เกษตรในที่ดินของคนอื่น และกลายมาเป็นกึ่งเกษตรกรกึ่งกรรมกร

       นอกจากนั้น ปัญหาของการผลิตในชนบทไทยที่สำ�คัญอีกประการคือ การเผชิญกับปัญหาภัยธรรมชาติ
บ่อยครั้งทั้งจากภัยแล้ง นํ้าท่วม และศัตรูพืช เช่น เพลี้ยกระโดดสีนํ้าตาล เพลี้ยแป้งสีชมพูและโรคเขียวเตี้ย เป็นต้น
ประกอบกับการประสบกับปัญหาการเสื่อมคุณภาพของดินจากการใช้สารเคมีเป็นปริมาณมากติดต่อกันหลายปีการ
เพาะปลูกและการปลูกพืชเชิงเดี่ยวซํ้าซาก (ไม่มีการปลูกพืชหมุนเวียน) และปัญหาคุณภาพของนํ้าซึ่งปนเปื้อนสารเคมี
เชน่ กนั กระทัง่ ผลผลติ หลายประเภทและจำ�นวนมากไมผ่ า่ นมาตรฐานการตกคา้ งของสารเคมี ซึง่ ท�ำ ใหไ้ มส่ ามารถสง่ ออก
ได้ในหลาย ๆ ประเทศ โดยเฉพาะในสหภาพยุโรป มีการแบนสินค้าเกษตรไทยประเภทผักและผลไม้หลายรายการใน
ปี 2553 จากที่ตรวจพบสารตกค้างและศัตรูพืชในผัก ซึ่งแยกเป็น 5 กลุ่ม 16 ชนิด ได้แก่ 1) กะเพรา โหระพา แมงลัก
ยี่หร่า 2) พริกหยวก พริกชี้ฟ้า พริกขี้หนู 3) มะเขือเปราะ มะเขือยาว มะเขือม่วง มะเขือเหลือง มะเขือขาว มะเขือขื่น
4) มะระจีน มะระขี้นก และ 5) ผักชีฝรั่ง (สิรินาฏ พรศิริประทาน, 2553)
   22   23   24   25   26   27   28   29   30   31   32