Page 40 - สังคมมนุษย์
P. 40

4-30 สังคมมนษุ ย์
โดยเฉพาะอยา่ งยงิ่ ในวยั ดงั กลา่ ว หากเดก็ มพี ฒั นาการอยา่ งเหมาะสมในขนั้ นเ้ี ดก็ จะมคี วามสามารถในการ
ปรบั ตวั ใหเ้ ขา้ กับเพือ่ นกลุ่มเดียวกันได้ดี

       5.	 ขนั้ อวยั วะเพศตอนปลาย (Genital Stage) เรมิ่ จาก 12 ขวบเปน็ ตน้ ไป ในระยะนเี้ ดก็ จะเขา้ สู่
วยั รนุ่ ไปจนถงึ วยั ผใู้ หญ่ และวยั ชรา เมอื่ เดก็ ยา่ งเขา้ สวู่ ยั รนุ่ จะมกี ารเปลย่ี นแปลง ทางรา่ งกายทงั้ หญงิ และ
ชายต่างๆ กัน และมีพัฒนาการทางร่างกายตน มีความสามารถในการสืบพันธุ์ นอกจากน้ียังมีการ
เปลย่ี นแปลงทางอารมณ์ มคี วามตอ้ งการตามสญั ชาตญาณทางเพศอยา่ งรนุ แรง ตอ้ งการเปน็ ตวั ของตวั เอง
ต้องการเป็นอิสระในขณะเดียวกับก็ต้องการได้รับความอบอุ่น และการดูแลเอาใจใส่ทางจิตใจจากพ่อแม่
เมอื่ บคุ คลมวี ฒุ ภิ าวะทางเพศอยา่ งสมบรู ณแ์ ลว้ จะเกดิ ความพงึ พอใจทางดา้ นเพศ มกี ารแสวงความสขุ ทาง
เพศระหว่างชายหญิง บุคคลท่ีมีการพัฒนาการทางบุคลิกภาพอย่างปกติ ไม่มีการติดตรึง ก็จะสามารถมี
ชีวิตทางสังคม ทถี่ ูกต้องเหมาะสมคอื มีครอบครวั และสามารถแสดงบทบาททางเพศ และบทบาทของพ่อ
แม่ไดอ้ ยา่ งเหมาะสม

       จะเห็นไดว้ ่า พัฒนาการทางบุคลิกภาพตามความเช่ือของ ฟรอยด์ จะมคี วามสมั พนั ธ์กบั ลักษณะ
ทางชีวภาพของบุคคล ที่จะน�ำไปสู่สภาวะทางสุขภาพจิต หากการพัฒนาการแต่ละข้ันเป็นไปด้วยความ
เหมาะสม ก็จะท�ำใหบ้ ุคคลมีบุคลกิ ภาพทีป่ กติ แต่ถา้ พฒั นาการแต่ละข้นั เกดิ การตดิ ขัด จะมผี ลท�ำใหเ้ กิด
ความผิดปกตทิ างบุคลกิ ภาพในรปู แบบต่าง เชน่ โรคจติ หรอื โรคประสาททถ่ี อื วา่ มคี วามแปรปรวนในทาง
บุคลิกภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงห้าปีแรกของชีวิตจะเป็นช่วงการสร้างพ้ืนฐานทางบุคลิกภาพของ
บุคคล ประสบการณ์ท่ีรุนแรงที่เกิดข้ึนในระยะน้ีอาจมีผลกระทบกระเทือนต่อบุคลิกภาพของเด็กไปตลอด
ชวี ติ ซึง่ พ่อแมค่ วรใหค้ วามส�ำคัญอย่างยงิ่ ในการจดั บรรยากาศของการเลยี้ งดูลกู ๆ ใหเ้ หมาะสมทจี่ ะสร้าง
พืน้ ฐาน ทางบุคลกิ ภาพที่ม่ันคง และเหมาะสมเพอื่ ให้เปน็ บคุ คลท่มี บี ุคลกิ ภาพท่สี มบรู ณอ์ ย่างเต็มที่

แนวทางปฏิสัมพันธ์

       เนอ้ื หาสาระทสี่ ำ� คญั ของแนวทางน้ี เปน็ แนวทางทใี่ หค้ วามสนใจกบั การเกดิ ขน้ึ ของ “ความเปน็ ตวั ตน
(Self)” ของบุคคลและมองการอบรมขดั เกลาทางสงั คมวา่ เปน็ กระบวนการต่อเนอ่ื งที่ “ความเปน็ ตัวตน”
ของบุคคลใดบุคคลหนึ่งจะเกิดขึ้นก็โดยการมีปฏิสัมพันธ์กับบุคคลอ่ืนหรือปฏิกิริยาที่บุคคลอ่ืนแสดงต่อตัว
เขาเอง หรอื กลา่ วอยา่ งงา่ ยๆ ตวั ตนของแตล่ ะคนจะเปน็ อยา่ งไรนน้ั ยอ่ มขนึ้ อยกู่ บั การทบ่ี คุ คลมปี ฏสิ มั พนั ธ์
กบั บคุ คลอ่ืน ยกตวั อย่างนักคิดคนสำ� คัญของแนวทางนี้ ได้แก่ (ลิวอิส เอ. โคเซอร,์ 1971, pp. 2-54, pp.
58-105)

       -	 ชารล์ ฮอรต์ นั คลู ยี ์ (Charles Horton Cooley)
       -	 จอร์จ เฮอรเ์ บริ ต์ มดี (George Herbert Mead)
       ชารล์ ฮอร์ตัน คูลีย์ (Charles Horton Cooley, 1864-1929)
       เปน็ นกั สงั คมวทิ ยาชาวอเมรกิ นั เปน็ ผสู้ นใจวธิ กี ารทบ่ี คุ คลสรา้ งความเปน็ ตวั ตน (Self) หรอื ความ
รู้สึกเก่ียวกับตัวเอง คูลีย์ เช่ือว่า การมีปฏิสัมพันธ์กับบุคคลอื่นถือว่าเป็นเร่ืองท่ีมีความส�ำคัญต่อการ
พฒั นาการความเป็นตวั ตนของบคุ คล
   35   36   37   38   39   40   41   42   43   44   45