Page 41 - สังคมมนุษย์
P. 41

ภาวะไร้ระเบียบในสังคมและการจัดระเบยี บในสงั คมไทย 4-31
       แนวคดิ ทสี่ �ำคญั ของเขา ก็คอื “กระจกสอ่ งตน” หรือ “Looking Glass Self ซ่ึง พจนานุกรม
ศพั ทส์ งั คมวทิ ยา ฉบบั ราชบณั ฑติ ยสถาน (2532, น. 326) ไดอ้ ธบิ ายวา่ Looking Glass Self คอื ทศั นะ
และความรสู้ กึ ของแตล่ ะคนทม่ี องดตู วั เองตามทผี่ อู้ น่ื มองดตู วั เรา เปรยี บเสมอื นตวั ตนเปน็ กระจกเงาสะทอ้ น
ภาพของตนเองตามท่ีผู้อ่ืนคิดเหน็
       โดยหลักการท่ีส�ำคัญ ก็คือ บุคคลแต่ละคน คือ กระจกเงา สะท้อนผู้อ่ืนหมายถึง กระบวนการ
เรียนรู้ที่บุคคลจะมองตัวบุคคลเองบางส่วนที่บุคคลคิดว่าบุคคลอ่ืนจะมอง คือเป็นการมองตัวเอง โดยใช้
สายตาของคนอื่นเหมือนตัวเองมองตัวเองผ่านกระจกเงา ในแง่ดังกล่าว ความรู้สึกเก่ียวกับตนเองทั้งใน
แงด่ แี ละแงไ่ มด่ เี กดิ จากความรสู้ กึ ของคนอนื่ ทม่ี ตี อ่ ตนเอง ไมว่ า่ ปมดอ้ ยหรอื ปมเดน่ ซง่ึ ทำ� ใหบ้ คุ คลตดั สนิ ใจ
ได้ว่า ควรเปน็ อะไร แค่ไหน สภาวะเชน่ นที้ �ำใหบ้ ุคคลสร้างความเปน็ ตวั ตนหรอื ความรู้สกึ เกย่ี วกบั ตัวเอง
       ยกตัวอยา่ ง นาย ก. เป็นพอ่ ครัวและเปดิ ร้านอาหาร การทจี่ ะรวู้ ่าตัวเองเป็นพ่อครัวทม่ี ฝี มี อื หรอื
ไม่ ไมไ่ ดเ้ กดิ จากการท่ี นาย ก. มองหรอื ประเมนิ ตวั เอง แตต่ อ้ งเกดิ จากการทคี่ นอนื่ มอง ซง่ึ ดไู ดจ้ ากลกู คา้
ทมี่ ารบั ประทานอาหาร ปรากฏวา่ มคี นมากนิ นอ้ ยมาก กเ็ ลยคดิ วา่ หรอื จนิ ตนาการวา่ ตวั เองคงทำ� อาหาร
ไม่อร่อย เม่ือนาย ก. คิดเช่นนั้น ก็อาจจะเกิดความคิดยอมรับว่า ตัวเองเป็นคนท�ำอาหารไม่อร่อยจริงๆ
หรอื อาจจจะปฏิเสธว่า การทมี่ ีคนมากินอาหารน้อย อาจจะเนื่องจากท�ำเลท่ตี ง้ั ไม่สะดวกก็เป็นได้
       จอร์จ เฮอร์เบิร์ต มี้ด (George Herbert Mead, 1863-1931)
       มดี้ เป็นนักสังคมวทิ ยา ชาวอเมรกิ นั อีกทง้ั เปน็ นกั ปรชั ญา และนกั จติ วิทยา เขาไดท้ �ำการศึกษา
พฒั นาการทค่ี วามรสู้ กึ เกยี่ วกบั ตวั ตนทค่ี อ่ ยๆ กอ่ รา่ งสรา้ งตนจากกระบวนการปฏสิ มั พนั ธ์ โดยเขาชใี้ หเ้ หน็
วา่ กลไกส�ำคัญต่อการสร้างตัวตน คอื การเรียนรทู้ ี่จะสวมบทบาท (Role Taking) ของผู้อนื่
       การสวมบทบาท (Role–Taking) หมายถงึ การทบี่ คุ คลคดิ จนิ ตนาการตวั เองในบทบาทของบคุ คล
อื่น เพื่อท่ีจะพิจารณาเกณฑ์ท่ีบุคคลอื่นใช้ตัดสินพฤติกรรมและเพ่ือว่าบุคคลจะได้ใช้ข้อมูลน้ีเป็นแนวทาง
ส�ำหรับการประพฤตปิ ฏบิ ตั ิของบคุ คลเอง
       ตามความคดิ ของมด้ี แนวคดิ น้ี เรม่ิ ตงั้ แตว่ ยั เดก็ เมอื่ เดก็ ไดเ้ รยี นรเู้ กยี่ วกบั เรอื่ งของสทิ ธแิ ละเงอ่ื นไข
ตา่ งๆ ทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั เดก็ เองในครอบครวั และเพอื่ ทจี่ ะเขา้ ใจวา่ บคุ คลอน่ื เชน่ บดิ ามารดาคาดหวงั เกยี่ วกบั
ตนเองอย่างไร โดยทั่วไปเด็กจะต้องเรียนรู้บทบาทของบิดามารดา เรียนรู้ที่จะมองตัวเด็กเองในทรรศนะ
ของบดิ ามารดา และน�ำมาใชใ้ นการประเมนิ ตวั เขาจากทรรศนะดงั กล่าว
       มด้ี เห็นว่า เด็กๆ โดยปกตมิ ักจะคน้ หาความรู้เกีย่ วกบั บทบาทจากการเลน่ ตา่ งๆ เช่น เมอ่ื พวก
เขาเลน่ เกมเก่ยี วกบั บา้ น พวกเขาก็จะพฒั นาความคดิ ว่า สามภี รรยาและบุตรท่มี บี ทบาทต่างๆ กันมคี วาม
สัมพันธ์ซง่ึ กนั และกันอยา่ งไร
       ม้ีด เห็นว่า เด็กพัฒนาแนวคิดเกี่ยวกับความเป็นตัวตนจากบุคคลอื่น โดยเฉพาะจากบุคคลท่ีมี
ความส�ำคญั ทเี่ รยี กวา่ “Significant Others” ตอ่ พวกเขา ซึ่งมกั จะไดแ้ ก่ บิดามารดา โดยเดก็ จะพฒั นา
ส�ำนกึ ของความเป็นตัวตนและความรสู้ ึกทีบ่ คุ คลอื่นมีต่อพวกเขากอ่ น
       ตอ่ จากนน้ั เดก็ จะประพฤตปิ ฏบิ ตั ติ ามแบบบคุ คลทม่ี คี วามสำ� คญั ตอ่ พวกเขา โดยการแสดงหรอื เลน่
บทบาทที่มีความส�ำคญั ต่อพวกเขา ขณะเดยี วกันกจ็ ะลอกเลยี นทรรศนะของบคุ คลเหล่าน้ัน จากการแสดง
   36   37   38   39   40   41   42   43   44   45   46