Page 39 - การวางแผน การออกแบบ และการผลิตสื่อชุมชน
P. 39

การผลิตและการใชส้ อื่ เพ่อื สร้างความเขม้ แข็งของชมุ ชน 15-29
       จากค�ำอธิบายดงั กล่าว อาจสรุปไดว้ า่ “ศักดศ์ิ ร”ี ไมใ่ ชแ่ ค่เง่อื นไขท่เี ราสามารถบอกได้วา่ ตัวเรา
เปน็ ใครเทา่ นนั้ (เช่น เราเปน็ คนไทย เป็นกลุ่มชาตพิ ันธ์ุ เปน็ สว่ ย ไทโส้ ปกาเกอะญอ มอญ ลาวคร่ัง ผไู้ ท
จนี ฯลฯ) หากแต่เรายังมคี วามเคารพมนั่ ใจในตัวตนของเรา (เช่น ภมู ใิ จในความเป็นกลุ่มชาตพิ ันธ์ุ) และ
ไมไ่ ปลว่ งละเมดิ ทำ� ลายตวั ตนของผอู้ นื่ (เชน่ ไมด่ ถู กู เหยยี ดหยามความเปน็ กลมุ่ ชาตพิ นั ธข์ุ องคนอน่ื ) ฉะนน้ั
“ศกั ดศ์ิ ร”ี จงึ ไมใ่ ชเ่ พยี งการนยิ ามวา่ เราเปน็ ใครเทา่ นน้ั แตย่ งั รวมไปถงึ ความเชอื่ มน่ั และเคารพคณุ คา่ ของ
ตัวเราและบคุ คลอื่น
       อยา่ งไรก็ตาม แม้ทัศนะของนายแพทย์ประเวศขา้ งต้น จะกล่าวถึงแตเ่ ฉพาะศักดิศ์ รขี องมนุษย์ใน
ระดับท่ีเป็นปัจเจกบุคคล แต่ทัศนะน้ีก็สามารถน�ำมาใช้อ้างอิงกับความหมายของศักดิ์ศรีแห่งชุมชนและ
วัฒนธรรมชุมชนได้เช่นกัน ท้ังน้ี เนื่องจากเพราะวัฒนธรรมถือเป็นมรดกร่วมของทุกคนท่ีอยู่ในชุมชน
ดังน้นั การธ�ำรงไวซ้ ่ึงศกั ด์ศิ รขี องวฒั นธรรมก็คอื อกี นัยหนง่ึ ของการรักษาไว้ซง่ึ ศกั ด์ิศรีของทกุ คนในชมุ ชน
       ในทำ� นองเดยี วกัน ธีรยุทธ บุญมี (25378) ก็เคยตั้งข้อสงั เกตเอาไว้ว่า สำ� หรับชนบทหรอื ชุมชน
ทอ้ งถิน่ ดง้ั เดิมน้ัน ชาวบ้านมกั ถอื กันวา่ ทุกคนมีศักดิศ์ รขี องตัวเอง แมศ้ กั ด์ิศรีจะมลี กั ษณะเป็นนามธรรม
จบั ตอ้ งไมไ่ ด้ แตก่ แ็ ฝงอยใู่ นตวั คนทกุ คน และทกุ ครง้ั ทเี่ กดิ ความสมั พนั ธท์ างสงั คมขนึ้ มา คนทกุ คนจะตอ้ ง
ระมัดระวังไม่ให้เกิดการละเมิดศักดิ์ศรีซ่ึงกันและกัน หรือคล้ายๆ กับท่ีนักสังคมวิทยาชาวเยอรมันอย่าง
จอรจ์ ซมิ เมล (George Simmel) ไดอ้ ธบิ ายวา่ มนษุ ยท์ กุ คนลว้ นสรา้ งความผกู พนั เชงิ สญั ลกั ษณร์ ะหวา่ ง
ตนเองกบั ผอู้ ืน่ หรือสง่ิ อ่นื และกลายมาเป็น “อาณาเขตของศักดศ์ิ ร”ี (honour sphere) ฉะนัน้ หากใคร
ก็ตามมาลว่ งลา้ํ อาณาเขตดังกล่าว กเ็ ท่ากับเปน็ การละเมดิ ศักด์ิศรีของบุคคลผนู้ นั้ ดว้ ยเช่นกนั
       และหากเราใชข้ อ้ คดิ เหน็ ทน่ี ายแพทยป์ ระเวศ วะสี และธรี ยทุ ธ บญุ มี ไดเ้ สนอไว้ กบั การทำ� ความ
เข้าใจกรณีของชุมชนและวฒั นธรรมชมุ ชน กจ็ ะพบว่า ศักด์ิศรีของชุมชนไม่อาจวัดได้เพียงแค่โภคทรัพย์
เงินทองหรือความงามเพียงรูปลักษณ์ภายนอกเท่านั้น หากแต่อยู่ที่คุณค่า เกียรติภูมิ และ “ความมั่นอก
มั่นใจ” ในตัวตนและวัฒนธรรมของคนในชุมชน ตวั อย่างเชน่ เม่อื กลา่ วถงึ ศลิ ปะแขนงหน่งึ ของภาคใต้
ที่เรียกว่า “หนังตะลุงคน” ซ่ึงเป็นการปรับประยุกต์ให้คนมาแสดงเลียนแบบท่าเชิดของหนังตะลุง เป็น
ตัวพระฤๅษี ตัวพระ ตัวนาง ตัวตลก ฯลฯ ผู้คนท่ีอยู่ในท้องถ่ินอ่ืนที่ไม่ใช่ภาคใต้ก็อาจจะมองได้ว่า เป็น
กระบวนการทำ� ใหศ้ ลิ ปะหนงั ตะลงุ ดง้ั เดมิ ผดิ เพย้ี นไป หรอื เปน็ การทำ� ลายเอกลกั ษณท์ างวฒั นธรรมทอ้ งถน่ิ
เชน่ ไมไ่ ดแ้ สดงดว้ ยการเชดิ ตวั หนงั จรงิ ๆ ฯลฯ แตท่ วา่ สำ� หรบั คนในวฒั นธรรมและกลมุ่ ศลิ ปนิ หนงั ตะลงุ แลว้
ศลิ ปะแขนงนีก้ ลบั มคี ณุ คา่ ศกั ดิ์ศรอี ยูท่ ก่ี ารซ่ึงนายหนงั คนหนงึ่ ๆ ได้เชดิ ตัวหนังมานาน จนรู้สึกวา่ ตนเอง
ได้กลายเป็นหนึ่งเดียวกับตัวหนัง และจึงสามารถแสดงท่าทางเลียนแบบตัวหนังตัวน้ันออกมาได้อย่าง
กลมกลืน
       ด้วยเหตุท่ีวัฒนธรรมชมุ ชนมวี งจรชวี ิต เกดิ แก่ เจ็บ และโรยราไป ภายใตเ้ งื่อนไขของคนแตล่ ะ
ชมุ ชน ดงั นน้ั ศกั ดศิ์ รขี องวฒั นธรรมจงึ ขน้ึ อยกู่ บั “หลกั สทิ ธเิ จา้ ของวฒั นธรรม” หรอื ผสู้ รา้ งสรรคว์ ฒั นธรรม
ทจ่ี ะเขา้ ไปกำ� หนดความเปน็ ไปของวงจรชวี ติ วฒั นธรรมชมุ ชนนน้ั ๆ มากกวา่ จะเปน็ การตดั สนิ หรอื ลว่ งละเมดิ
โดยจดุ ยืนของคนนอกวัฒนธรรม (สมสขุ หินวิมาน, 2549) และในขณะเดยี วกนั การต้งั คำ� ถามตอ่ ศักด์ศิ รี
ของชุมชน จะสัมพันธ์กับการอธิบายว่า ในสภาพที่วัฒนธรรมชุมชนจ�ำนวนมากอาจจะด�ำรงอยู่ได้แต่ก็ใน
สภาพที่ “กลายพนั ธ”์ุ หรอื เปลยี่ นแปลงไปจากแกน่ แกนทเี่ คยมมี าจากอดตี หรอื ถกู ลดทอนคณุ คา่ ศกั ดศิ์ รี
   34   35   36   37   38   39   40   41   42   43   44