Page 54 - การวิจัยทางการวัดและประเมินผลการศึกษา
P. 54

2-44 การวิจัยทางการวัดและประเมินผลการศึกษา

                                  ภาคผนวกท้ายเรอ่ื งที่ 2.1.1

          การเสนอสาระในส่วนของภาคผนวกน้ีมุ่งเสนอสาระรวม 3 ด้าน คือ ด้านหลักปรัชญาการวิจัย ด้าน
  กระบวนการวิจัย และด้านดัชนีคุณภาพและรหัสมาตรฐานสากลประจ�ำวรรณกรรม ส�ำหรับผู้อ่านที่ยังขาด
  ความรู้ และส�ำหรับผู้อ่านท่ีมีความรู้แต่ต้องการทบทวนความรู้ให้แม่นย�ำมากขึ้น เกิดความเข้าใจความหมาย
  ของหลักปรัชญาการวิจัย และด้านกระบวนการวิจัย และเห็นความเช่ือมโยงระหว่างการใช้หลักปรัชญาการ
  วจิ ยั ในการกำ� หนดกระบวนการวจิ ยั ไดอ้ ยา่ งถกู ตอ้ ง รวมทงั้ มคี วามรดู้ า้ นดชั นคี ณุ ภาพและรหสั มาตรฐานสากล
  ประจ�ำวรรณกรรมอันเป็นประโยชน์ต่อการค้นคืนวรรณกรรม ดังสาระท่ีน�ำเสนอต่อไปน้ี

  1. หลกั ปรชั ญาการวิจัย
          การวิจัย เป็นกระบวนการแสวงหาความรู้ความจริง/การประดิษฐ์คิดค้น/การพัฒนานวัตกรรม โดย

  มีพื้นฐานทางปรัชญา และวิธีการท่ีมีระเบียบแบบแผนตามระเบียบวิธีทางวิทยาศาสตร์ (scientific method)
  แตกต่างกันตามประเภทของการวิจัยท่ีส�ำคัญแยกได้เป็น 3 แบบ คือ การวิจัยเชิงปริมาณ (quantitative
  research) การวิจัยเชิงคุณภาพ (qualitative research) และการวิจัยผสมวิธี (mixed method research)
  แต่ละแบบใช้หลักปรัชญา (philosophy) แตกต่างกัน ผู้เขียนสังเคราะห์สรุปสาระจาก พจน์ สะเพียรชัย
  (2561); Creswell (2014); Creswell & Clark (2011); Hart (1998); James (2010); Knight (1999); Lee
  (2012) และ Peterson & Gencel (2013) สรุปได้ว่าการวิจัยตามโลกทัศน์ (worldview) ทั้ง 3 แบบ ใช้หลัก
  ปรัชญา (philosophy) ทั้ง 5 ด้านแตกต่างกัน คือ 1) ภววิทยา (ontology) ว่าด้วยธรรมชาติของความรู้
  ความจริง 2) ญาณวทิ ยา (epistemology) ว่าด้วยการแสวงหาความรู้ความจริง 3) คุณวทิ ยา หรอื อรรฆวิทยา
  (axiology) ว่าด้วยคุณค่า อุดมคติของความรู้ความจริง แบ่งเป็น 3 สาขาวิชา คือ จริยศาสตร์ ตรรกศาสตร์
  และสุนทรียศาสตร์ เน้นด้านศีลธรรมจรรยา ศาสนา และความ สวยงาม 4) วิธวี ทิ ยา (methodology) ว่าด้วย
  ระบบหลักคิดและกฎเกณฑ์ท่ีช่วยให้นักวิจัยประมวลความรู้แนวคิด ปรัชญา และทฤษฎีท่ีเก่ียวข้องให้เกิด
  ความรู้ความเข้าใจ ปัญหาวิจัยชัดเจน จนสามารถเลือกแนวทางด�ำเนินงานวิจัยได้อย่างถูกต้องเหมาะสม
  ทกุ ขนั้ ตอน และ 5) วาทศลิ ป์ (rhetoric) วา่ ดว้ ยวิทยาการสาขาวิชาศิลปะการใช้ถ้อยคำ� ในการพูดและการเขยี น
  ใช้ส�ำนวน/โวหารได้อย่างมีประสิทธิผลในการเสนอ/การอภิปรายงานวิจัย และการเขียนรายงานวิจัยที่มี
  รูปแบบและสาระตรงตามหลักตรรกะในการด�ำเนินการวิจัย ดังแนวทางการวิจัยหลัก 3 ประเภท ต่อไปน้ี

          การวจิ ยั เชงิ ปรมิ าณ (quantitative research) การวจิ ยั เชงิ ปรมิ าณใชโ้ ลกทศั น/์ กระบวนทศั น์ (world-
  view or paradigm) แบบ ‘หลังปฏิฐานนิยม (postpositiviem)’ 5 ด้าน คือ 1) ภววิทยา ใช้โลกทัศน์
  แบบกำ� หนดนยิ ม (determinism) ใหไ้ ดค้ วามรคู้ วามจรงิ ทมี่ อี ยแู่ บบเดยี ว (single reality) มุ่งศึกษาปัญหาวิจัย
  ประเภทความสมั พนั ธเ์ ชงิ สาเหตุ ใหไ้ ดแ้ นวทางในการพฒั นาตวั แปรผลลพั ธท์ เี่ กดิ จากการพฒั นาตวั แปรสาเหตุ
  ที่มีลักษณะคล้ายคลึงกับสมมติฐานวิจัย เช่น ‘ตัวแปร X เป็นสาเหตุท�ำให้ตัวแปร Y มีค่าเพ่ิมข้ึน’ หรือ ‘X
  มีอิทธิพลทางตรง และมีอิทธิพลทางอ้อมต่อ Y ผ่าน Z’ 2) ญาณวทิ ยา ใช้โลกทัศนแ์ บบลดทอนนยิ ม (reduc-
  tionism) มุ่งศึกษาเฉพาะตัวแปรคัดสรรที่มีความสัมพันธ์กันเด่นชัด และควบคุมตัวแปรอื่น ๆ ที่อาจมีความ
  สัมพันธ์กับตัวแปรตาม ให้ได้ผลการศึกษาตอบปัญหาวิจัยได้ตรงและเหมาะสม 3) คณุ วทิ ยา ใชโ้ ลกทศั นแ์ บบ
  การสังเกตและการวดั แบบประจกั ษน์ ิยม (empirical observation and measurement) มุ่งใช้การสังเกตและ
   49   50   51   52   53   54   55   56   57   58   59