Page 19 - สื่อศึกษา
P. 19
สือ่ กบั เพศสภาวะ 14-9
ความพรอ้ มใหก้ บั เดก็ ตามเพศตามธรรมชาติ (sex) ผลการวจิ ยั ชใี้ หเ้ หน็ วา่ ของเลน่ และวธิ กี ารเลน่ ทเี่ ดก็ ผหู้ ญงิ
ชอบมากทสี่ ดุ คอื ตกุ๊ ตาคนและสตั ว์ นำ� มาเลน่ สวมบทบาทสมมตใิ นชวี ติ ประจำ� วนั แทนสมาชกิ ในครอบครวั
เปน็ การจำ� ลองภาพครอบครวั ในอนาคตของเดก็ หญงิ ซงึ่ มกั จะสวมบทเปน็ แมแ่ ละมตี กุ๊ ตาเปน็ ลกู ขณะทเ่ี ดก็
ผู้ชายมักจะใช้ตุ๊กตาหรือหุ่นยนต์จ�ำลอง (action figure) รถยนต์ ปืน น�ำมาเล่นบทบาทสมมติเพื่อต่อสู้
นอกจากนกี้ ารเลน่ ของเลน่ ดงั กลา่ วยงั เชอ่ื มโยงไปสกู่ ารเลน่ เกมออนไลนข์ องเดก็ อกี ดว้ ย โดยเดก็ ผหู้ ญงิ มกั
จะเล่นเกมที่ให้ความบันเทิงและเกมการศึกษา ส่วนเด็กผู้ชายจะเลือกเล่นเกมการต่อสู้ ผจญภัยและเกม
กีฬา จะเห็นไดว้ า่ ของเลน่ ท่เี ด็กๆ เลน่ กันน้ัน มีลกั ษณะเป็นภาพตายตวั ทางเพศ (sex stereotype) เพอื่
ใหเ้ ดก็ ไดเ้ รียนรู้ว่าตนเองมเี พศสภาวะและบทบาททางเพศเป็นอยา่ งไร
2. ความแตกต่างระหว่างเพศ และความแตกต่างระหว่างเพศสภาวะ
นักสตรีนิยมมองว่า การท่ีเด็กคนหน่ึงเกิดมามีเพศธรรมชาติหรือเพศสรีระเป็นหญิงนั้นไม่มีอะไร
บ่งบอกว่าผู้หญิงด้อยกว่าหรือต้องมีบทบาทหน้าที่อะไร แต่ถูกสังคมสร้างให้เป็นเช่นนั้น ดังค�ำกล่าวของ
ซีโมน เดอ โบวัวร์ (Simone de Beauvoir, 1953) นักทฤษฎีสตรนี ิยมชาวฝรง่ั เศส ที่วา่ “ผูห้ ญงิ ไม่ได้
เกดิ มาเปน็ หญงิ หากแตถ่ กู ทำ� ใหก้ ลายเปน็ ผหู้ ญงิ ” (one is not born, but rather becomes a woman)
เชน่ เดียวกนั กบั แอน โอค๊ ลยี ์ (Ann Oakley, 1972, pp. 8-7) นกั ทฤษฎสี ตรีนิยมยคุ บกุ เบิกอกี ทา่ นหน่ึง
ไดก้ ลา่ วถึงความแตกต่างระหว่างเพศ (sex differences) ไว้ว่า ความแตกตา่ งระหวา่ งเพศมอง ได้ว่าเปน็
สงิ่ ทสี่ มั พนั ธก์ บั ธรรมชาตแิ ละสรรี ะ กระนน้ั กต็ ามความแตกตา่ งระหวา่ งเพศสภาวะ (gender differences)
ตอ้ งมองจากมุมมองของวฒั นธรรมทางสังคมเท่านัน้ เนอ่ื งจากการอบรมเลย้ี งดูจากครอบครัว ความรแู้ ละ
วิถปี ฏิบตั ิต่างๆ ท่ีไดร้ บั จากสถาบันต่างๆ ในสังคม นบั แต่ครอบครวั โรงเรยี น และสอ่ื มวลชนทกุ ประเภท
เปน็ สว่ นสำ� คญั ทบี่ ม่ เพาะความแตกตา่ งทางเพศสภาวะและถา่ ยทอดยงั ไปยงั คนรนุ่ อน่ื ๆ ตอ่ ไป
ความแตกตา่ งทางเพศนำ� ไปสกู่ ารยอมรบั /ไมย่ อมรบั การกระทำ� และการแสดงออกทางอารมณข์ อง
บคุ คลทส่ี งั คมไดผ้ กู เอาความแตกตา่ งทางเพศเชงิ สรรี ะเขา้ ดว้ ยกนั กลา่ วคอื สงั คมยอมรบั โดยปรยิ าย (take
for granted) ว่า เด็กผู้ชายมีลักษณะนิสัยก้าวร้าวมากกว่าผู้หญิง และเห็นว่าการเล่นต่อสู้กันแบบแรงๆ
เป็นเร่ืองปกติเน่อื งจาก “เด็กผ้ชู ายกเ็ ป็นอยา่ งน”ี้ หากเด็กผู้หญงิ จะเลน่ เตะตอ่ ยแบบเดียวกับเด็กผชู้ าย ก็
มักจะถูกต�ำหนิว่า “เด็กผู้หญิงเขาไม่ท�ำแบบน้ีกัน” โดยอ้างหลักความแตกต่างทางเพศตามธรรมชาติว่า
เนือ่ งจากผูช้ ายมฮี อร์โมนเพศชาย (testosterone) สูงกว่า กลา้ มเนอื้ มคี วามแขง็ แรงมากกว่าเดก็ ผู้ชายจงึ
เลน่ แบบนน้ั ได้ ขณะทเี่ ดก็ ผหู้ ญงิ ซงึ่ ถกู ก�ำหนดวา่ เปน็ เพศทอ่ี อ่ นแอกวา่ เนอ่ื งจากในเชงิ สรรี ะแลว้ เพศหญงิ
มีความแข็งแรงน้อยกว่า ดังนั้นกิจกรรมที่ผู้หญิงควรท�ำคือกิจกรรมท่ีใช้ก�ำลังน้อยกว่าผู้ชาย กลายเป็น
คุณลกั ษณะแบบตายตัวของผู้ชายและผหู้ ญิงไปโดยปรยิ าย
จากการเลอื กของเลน่ ใหเ้ ดก็ จนกลายมาเปน็ ความชอบของเดก็ ตลอดจนการยอมรบั การแสดงออก
ทางอารมณข์ องเดก็ จะเหน็ ไดว้ า่ สงั คมเปน็ ตวั กำ� หนดของเลน่ ทส่ี อดคลอ้ งกบั ความคาดหวงั ของสงั คม และ
เลอื กทำ� ความเขา้ ใจอารมณข์ องผหู้ ญงิ ผชู้ ายตามเพศสรรี ะ ซง่ึ เปน็ ไปอยา่ งไมร่ ตู้ วั เนอ่ื งจากสงั คมไดผ้ ลติ ซำ�้
มายาคติความแตกต่างทางเพศ (sex differences) ไว้แล้วว่าเด็กเพศหญิงเด็กเพศชายต้องเป็นอย่างไร
เมือ่ เดก็ ๆ เหลา่ น้ันโตข้ึน