Page 17 - สื่อศึกษา
P. 17
สอื่ กบั เพศสภาวะ 14-7
เร่ืองท่ี 14.1.1
แนวคิดเกี่ยวกับเพศสภาวะ
นิรุกติศาสตร์ (etymology) หรือที่มาของค�ำว่า gender นั้น มีค�ำอธิบายอยู่ 2 แนวทาง คือ
1) เปน็ คำ� ท่ีมาจากภาษา Indo-European มคี วามหมายวา่ การผลิต (to produce) (กิตติ กันภยั และ
วลิ าสนิ ี พพิ ธิ กลุ , 2546, น. 13) และ 2) เปน็ คำ� ทมี่ รี ากศพั ทม์ าจากภาษาละตนิ คอื genus หมายถงึ เชอื้ ชาติ
กลมุ่ ตระกลู ประเภท ตอ่ มาในศตวรรษท่ี 13 ภาษาฝรั่งเศสโบราณแผลงค�ำมาเป็น gendre, genre ซงึ่ ยัง
คงความหมายเดิมอยู่ คอื ชนิดและประเภท ในช่วงปลายศตวรรษท่ี 19 ตน้ ศตวรรษท่ี 20 คำ� วา่ gender
ถกู นำ� มาใช้ในเชิงวทิ ยาศาสตร์โดยนักชวี วทิ ยา นักวจิ ัยทางการแพทย์ และนักจติ วิทยา ดงั นน้ั ความหมาย
จงึ มนี ยั วา่ gender คอื เพศตามธรรมชาตแิ ละชวี ภาพ ทใี่ ชอ้ ธบิ ายเชอ่ื มโยงถงึ พฤตกิ รรมมนษุ ยใ์ นลกั ษณะ
คตู่ รงขา้ ม คือ เพศหญงิ (female) และเพศชาย (male)
ต่อมาในช่วงทศวรรษท่ี 1960 เป็นช่วงที่เกิดการเรียกร้องสิทธิสตรีและขบวนการเคลื่อนไหวทาง
สังคมของกลมุ่ สตรีนยิ ม (feminism) เพอื่ เรยี กรอ้ งความเทา่ เทยี มกนั ระหวา่ งหญิงชายขนึ้ ในโลกตะวนั ตก
คำ� วา่ gender จงึ ถกู นำ� มาใชใ้ นความหมายใหมใ่ นงานเขยี นเกย่ี วกบั สตรนี ยิ ม โดยนกั วชิ าการสายประกอบ
สรา้ งนยิ ม (constructionism) วา่ เปน็ ความหมายเพศในเชงิ สงั คมวฒั นธรรม คอื ความเปน็ หญงิ (femininity)
และ ความเปน็ ชาย (masculinity) อนั หมายถงึ ความเป็นเพศท่ีถกู ประกอบสร้างขน้ึ โดยสงั คมวัฒนธรรม
ทผี่ า่ นกระบวนการผลติ ซำ�้ (reproduction) และการขดั เกลาทางสงั คม (socialisation) (Victoria Robinson
และ Diane Richardson, 2015, pp. 4-5)
จุดยืนของนักสตรีนิยมและทฤษฎีสายสตรีนิยมน้ัน ให้ความส�ำคัญกับการศึกษาด้วยเกณฑ์เรื่อง
เพศ โดยแยกกนั ระหว่างเพศตามธรรมชาตหิ รือเพศสรรี ะ (sex) กับเพศสภาวะ (gender) ซ่งึ เปน็ ตวั แปร
สำ� คญั ของการเปล่ยี นแปลงต่างๆ ที่อยู่ในปฏิบัติการทางสงั คมและวัฒนธรรม (social practice) หลงั จาก
ทศวรรษที่ 1960 ขบวนการสทิ ธสิ ตรี (women movement) ไดร้ ่วมกนั กำ� หนดทศิ ทางในการศกึ ษาความ
เปน็ จรงิ ของสงั คม โดยเฉพาะดา้ นความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งเพศสภาวะและการสอ่ื สาร ทถี่ กู มองวา่ เปน็ ตวั จกั ร
ส�ำคัญในการบ่มเพาะความเป็นหญิงความเป็นชาย อีกท้ังยังเป็นพ้ืนที่ในการผลิตซ�้ำอุดมการณ์แบบชาย
เปน็ ใหญ่ (patriarchy)
อย่างไรก็ตาม จูดิธ บัตเลอร์ (Judith Butler, 1999, pp. 142-143) เห็นว่า ความเป็นหญิง
ไมจ่ ำ� เปน็ ตอ้ งประกอบสรา้ งขนึ้ ในรา่ งกายของผหู้ ญงิ และความเปน็ ชายกไ็ มใ่ ชก่ ารใหค้ วามหมายของเพศชาย
โดยบตั เลอรเ์ สนอใหป้ รบั กระบวนทศั นเ์ รอ่ื งการแบง่ แยกเพศและเพศสภาวะ ซง่ึ เธอเหน็ วา่ เพศสรรี ะสามารถ
มีเพศสภาวะไดห้ ลากหลาย ย่งิ ไปกวา่ นั้นเพศสภาวะก็ไม่จำ� เป็นตอ้ งถกู จำ� กดั อย่แู คส่ องเพศเท่านนั้ ดังจะ
เห็นได้จากในช่วงต้นทศวรรษที่ 1970 เกิดขบวนการเรียกร้องสิทธิของกลุ่มชายรักชาย (gay) และกลุ่ม
เลสเบยี น (lesbian) ในสหรัฐอเมริกาและประเทศในยโุ รปข้ึน เสน้ ทางการศกึ ษาของทฤษฎีสตรีนยิ มจึงได้
ปรบั จากจุดยนื แบบสตรีศึกษา (Women Studies) มาสู่เพศสภาวะศกึ ษา (Gender Studies) และขยาย