Page 30 - สื่อศึกษา
P. 30

14-20 สือ่ ศกึ ษา
สตรนี ยิ มกระแสหลกั มสี ามกลมุ่ ดว้ ยกนั คอื สตรนี ยิ มแบบสดุ ขว้ั หรอื ถอนรากถอนโคน (Radical Feminism)
สตรีนิยมสายมาร์กซิสม์ (Marxist Feminism) และสตรีนิยมสายเสรีนิยม (Liberal Feminism) ใน
ยุคหลังทฤษฎีสายสตรีนิยมได้ถูกขยายออกไปเป็นกลุ่มเฉพาะอีกสองสายคือ สตรีนิยมแนวหลังสมัยใหม่
(Postmodern Feminism) และสตรีนิยมแนวผิวดำ�  (Black Feminism)

       1.1 	สตรีนิยมสายเสรีนิยม (Liberal Feminism) สตรนี ิยมสายนีไ้ ด้รบั อทิ ธิพลทางความคิดจาก
แนวคดิ เสรีนิยม บนพ้นื ฐานความเชื่อแบบเหตผุ ลนยิ ม (Rationalism) กลา่ วคือ มนษุ ยม์ ีความแตกต่าง
จากสัตว์เพราะมนุษย์มีเหตุผล แต่ด้วยนักเสรีนิยมในช่วงต้น (ศตวรรษที่ 17) ไม่เช่ือว่าผู้หญิงจะมีความ
สามารถเท่าเทียมกับผู้ชายเน่ืองจากเชื่อว่าผู้หญิงเป็นเพศที่ใช้อารมณ์มากกว่าเหตุผล ดังนั้นข้อเรียกร้อง
ของนกั สตรีนยิ มในศตวรรษท่ี 18-19 จึงพยายามบอกวา่ ผูห้ ญิงกเ็ ป็นมนษุ ยด์ ังนัน้ ผหู้ ญงิ ก็มเี หตผุ ลจงึ ควร
ได้รบั สิทธิตา่ งๆ เช่นเดียวกบั ผู้ชาย (วารุณี ภรู ิสินสิทธ์,ิ อ้างแลว้ , น. 61) ดงั สะทอ้ นในสโลแกนท่ีองคก์ าร
สหประชาชาตใิ ชเ้ คลอ่ื นไหวสทิ ธสิ ตรี ปี ค.ศ. 2014 ทวี่ า่ “สทิ ธสิ ตรคี อื สทิ ธมิ นษุ ยชน” (Women’s Rights
are Human Rights.)  

       นกั สตรนี ยิ มสายเสรนี ยิ มเหน็ วา่ ในขณะทสี่ งั คมกำ� ลงั เปลย่ี นแปลงไป แตบ่ ทบาทของผหู้ ญงิ ยงั ถกู
ฉดุ ใหอ้ ยกู่ บั ทเ่ี นอ่ื งมาจากระบบสงั คมและกฎหมาย ดงั นน้ั จงึ ตอ้ งปฏริ ปู สงั คมและกฎหมายควบคไู่ ปกบั การ
พฒั นาผหู้ ญงิ ใหก้ า้ วหนา้ ตามไปดว้ ย โดยเหน็ วา่ การศกึ ษาเปน็ สงิ่ สำ� คญั ทท่ี ำ� ใหผ้ หู้ ญงิ สามารถเขา้ ไปอยใู่ น
โลกสาธารณะซง่ึ จะทำ� ใหส้ ถานะของผหู้ ญงิ ดขี น้ึ นกั วชิ าการทอ่ี ยใู่ นกลมุ่ สตรนี ยิ มแนวเสรนี ยิ มนี้ ไดแ้ ก่ เบต็ ต้ี
ฟรายแดน (Betty Friedan) และแอนน์ โอ๊คลีย์ (Ann Oakley)

       เมอ่ื ใชแ้ นวคดิ ดงั กลา่ วมาวเิ คราะหใ์ นมติ ขิ องการสอื่ สาร สามารถน�ำมาตงั้ คำ� ถามไดห้ ลายประเดน็
เช่น ในการส่ือสารแล้วผู้ชายกับผู้หญิงมีความเสมอภาคกันเพียงใด เช่น ผู้หญิงมีโอกาสเป็นผู้ก�ำกับ
ภาพยนตรเ์ ปน็ ไปไดม้ ากนอ้ ยแคไ่ หน หรอื ในแงข่ องการสะทอ้ นภาพผหู้ ญงิ ในสอื่ มลี กั ษณะเปน็ อยา่ งไร เชน่
ตอกยำ้� ความหมายความเปน็ รองของผหู้ ญงิ ผผี หู้ ญงิ ทแี่ มจ้ ะมอี ำ� นาจแตก่ ม็ อี ำ� นาจเมอ่ื เสยี ชวี ติ ไปแลว้ และ
สุดท้ายก็ต้องถูกหมอผีหรือพระซึ่งเป็นผู้ชายปราบ ซึ่งนักสตรีนิยมสายน้ีเห็นว่าหากจะแก้ไขความไม่เท่า
เทียมกนั แลว้ ต้องแกไ้ ขภาพสะท้อนในสือ่ ด้วยเชน่ กนั

       1.2 	สตรีนิยมสายมาร์กซิสม์ (Marxist Feminism)  นกั สตรนี ยิ มในสายนไี้ ดร้ บั อทิ ธพิ ลจากแนว
คดิ มารก์ ซิสมใ์ นช่วงทศวรรษ 1960-1970 โดย คาร์ล มาร์กซ์ (Karl Marx) ซง่ึ แม้วา่ มารก์ ซจ์ ะมองวา่
ผู้ชายและผู้หญิงต่างถูกเอารัดเอาเปรียบเหมือนกัน เนื่องจากผู้ชายชนช้ันแรงงานที่ไม่มีปัจจัยการผลิตก็
ต้องถูกเอารัดเอาเปรียบจากชนชั้นนายทุนเช่นเดียวกัน นักสตรีนิยมสายน้ีน�ำแนวคิดเร่ืองชนช้ัน (class)
มาใชโ้ ดยเห็นว่า ในครอบครัวผูช้ ายเปน็ ผูค้ รอบครองปัจจยั การผลิต เชน่ ฝูงสตั ว์ ท่ดี นิ ดงั นน้ั แล้วสามีจงึ
มีสถานะเปน็ ชนชั้นกระฎมุ พี (bourgeoise) ขณะที่ภรรยามีสถานะเป็นชนชน้ั แรงงาน (วารุณี ภรู ิสนิ สิทธ์ิ,
อ้างแลว้ , น. 75)

       ประเดน็ ทน่ี กั สตรนี ยิ มสายมารก์ ซสิ มใ์ นยคุ ตอ่ มาสนใจ คอื การวเิ คราะหก์ ารกดขผี่ หู้ ญงิ ผา่ นงานบา้ น
(domestic work) ซ่งึ เปน็ งานท่ถี ูกมองว่า “เป็นงานท่ีไม่ใชง่ าน” เนอ่ื งจากเป็นงานท่ไี ม่กอ่ ใหเ้ กิดมูลคา่
ส่วนเกิน เป็นเพียงแรงงานเสริมให้กับสามีผู้หาเล้ียงครอบครัวเท่านั้น อีกทั้งการก�ำหนดภาระงานบ้านให้
เปน็ งานของผหู้ ญงิ ยงั เปน็ การธำ� รงการกดขผี่ หู้ ญงิ เอาไว้ เปน็ เหตใุ หผ้ หู้ ญงิ มสี ถานะทไ่ี มท่ ดั เทยี มกบั ผชู้ าย
   25   26   27   28   29   30   31   32   33   34   35