Page 34 - สื่อศึกษา
P. 34
14-24 ส่ือศึกษา
จูดิธ บัทเลอร์ (Judith Butler, 1956) นักวิชาการหญิงชาวอเมริกัน ได้น�ำเอาแนวคิดเรื่อง
“อำ� นาจ” และ “การสรา้ งความเป็นจริง” (truth) ของมิเชล ฟูโกต์ (Michel Foucault) นกั วชิ าการสาย
หลังโครงสร้างนิยมมาประสานกับแนวคิดสตรีนิยมและทฤษฎีเควียร์ โดยอธิบายว่า เมื่อสังคมใช้ภาษา
ก�ำหนดความหมายและความจริงเกยี่ วกับผหู้ ญงิ ความหมายและชดุ ความจริงนั้นกม็ อี ำ� นาจที่จะท�ำใหเ้ กดิ
ผลบางอยา่ งตามมา เช่น หากผ้หู ญงิ ทีด่ ตี อ้ งมลี ักษณะแบบแมศ่ รีเรือน ดังทีส่ ุนทรภไู่ ด้กลา่ วไวใ้ นวรรณคดี
“สุภาษิตสอนหญิง” ดงั นนั้ หากจะเปน็ ผหู้ ญงิ ทดี่ ี ผหู้ ญงิ กต็ อ้ งอยกู่ บั เหยา้ เฝา้ กบั เรอื น เมอื่ แตง่ งานแลว้ กต็ อ้ ง
ดแู ลลกู และปรนนบิ ตั สิ ามี
2. ความเป็นชาย (Masculinism)
ในขณะท่ีโลกวิชาการของนักวิชาการสายสตรีนิยม ก�ำลังการศึกษาความเป็นหญิงที่ถูกประกอบ
สร้างโดยสงั คม ผา่ นการทำ� ความเขา้ ใจ “ความเปน็ ชาย” (masculinity) ประเดน็ ดังกลา่ วจงึ ได้กลายเปน็
แนวคดิ หนง่ึ ทขี่ ยายความเขา้ ใจเกยี่ วกบั เพศสภาวะออกไปโดยเฉพาะในอเมรกิ าเหนอื และในยโุ รป ในศาสตร์
ทเ่ี รยี กวา่ “บรุ ษุ ศกึ ษา” (Men’s Studies) ซงึ่ ศกึ ษาเกย่ี วกบั การกอ่ ตวั ของความเปน็ ชายและประสบการณ์
เฉพาะของผู้ชายในบริบทประวัติศาสตร์สังคมวัฒนธรรมท่ีหลากหลาย เพ่ือตอบค�ำถามว่าความเป็นชาย
แบบอ�ำนาจน�ำ (Hegemonic Masculinity) ก่อตัวขึ้น สร้างความชอบธรรม สร้างและผลิตซ�้ำอ�ำนาจ
ในความสัมพันธ์เชิงสังคมได้อย่างไร (Brod, 1987, p. 92 อ้างใน Victoria Robinson และ Diane
Richardson, อา้ งแล้ว, pp. 60-61)
ทง้ั นอ้ี าจกลา่ วไดว้ า่ “ความเปน็ ชาย” เปน็ แนวคดิ ทมี่ พี นื้ ฐานมาจากทฤษฎสี ตรนี ยิ มทเ่ี หน็ วา่ ความ
เปน็ ชายเปน็ เพศเชงิ สงั คมทถ่ี กู ประกอบสรา้ งโดยสงั คม โดยสงั คมคาดหวงั ใหผ้ ชู้ ายเปน็ ผนู้ ำ� มคี วามเขม้ แขง็
แขง็ แรง มคี วามสามารถในการเลยี้ งดคู รอบครวั เปน็ หวั หนา้ ครอบครวั (breadwinner) ดงั ผลการวจิ ยั ของ
พอล โรเซนกราน์ทซ์ (Paul Rosenkrantz, 1968 อ้างใน วชิ ชา สนั ทนาประสทิ ธิ,์ 2543) ทศ่ี ึกษาลกั ษณะ
นสิ ยั ท่ีถูกก�ำหนดโดยอุดมการณท์ างเพศที่แตกต่างกันระหว่างเพศชายและเพศหญงิ (stereotypic traits
of men and women) พบวา่ คณุ ลกั ษณะทเ่ี ปน็ แบบตายตวั ทางเพศตามลกั ษณะคา่ นยิ มแบบผชู้ าย ไดแ้ ก่
กา้ วรา้ ว เปน็ ตวั ของตวั เอง ไมช่ อบแสดงความรสู้ กึ ชอบแสดงอำ� นาจ ชอบการแขง่ ขนั ชอบวชิ าคณติ ศาสตร์
และวิทยาศาสตร์ เป็นผ้กู ระท�ำ มีเหตุผล ไมร่ ้องไหต้ ่อหนา้ ผู้อนื่ มีความมัน่ ใจในตนเอง ทะเยอทะยาน คดิ
วา่ ผู้ชายมีอ�ำนาจเหนือผูห้ ญงิ พูดจาหยาบคายโดยเฉพาะเมอ่ื อยใู่ นกลมุ่ ผู้ชาย เป็นผู้น�ำ และเปน็ คนเจ้าชู้
อยา่ งไรก็ตามนกั วิชาการเชน่ เดวิด โกลเวอร์ และ คอรา่ แคปแลน (David Glover & Cora Kaplan,
2000, p. 84) กลับเห็นว่า ความเป็นชายมีลักษณะลื่นไหลไม่คงท่ี (fluidity) และเปลี่ยนแปลงได้โดย
เปล่ยี นไปตามบรบิ ททางสงั คมวัฒนธรรมในแต่ละยคุ สมยั
อรทัย เพียยุระ (2561, น. 146-147) ได้ยกตัวอย่างบริบททส่ี ง่ ผลตอ่ ความเป็นชายวา่ ภายหลงั
การประสบความส�ำเร็จของกลุ่มสตรีนิยม ที่ได้รับการคุ้มครองให้มีสิทธิเท่าเทียมผู้ชายภายใต้กฎหมาย
การเลือกปฏิบตั ิทางเพศ (The Sexual Discrimination Act) ในปี ค.ศ. 1975 ท�ำใหผ้ หู้ ญงิ มบี ทบาทใน
พน้ื ทส่ี าธารณะไดเ้ ชน่ เดยี วกบั ผชู้ าย ประกอบกบั บรบิ ททางสงั คมเศรษฐกจิ ทเี่ ปน็ ยคุ สน้ิ สดุ ของอตุ สาหกรรม
หนกั ซงึ่ เปน็ อตุ สาหกรรมแบบเพศชาย (the death of industrial men) เปลยี่ นมาเปน็ ยคุ เทคโนโลยแี ละ
ดิจิทัลท่ีแรงงานหลักท�ำงานในออฟฟิศ ส่งผลให้ผู้หญิงท�ำงานนอกบ้านมากข้ึน ผู้ชายจึงลดบทบาทและ