Page 38 - สื่อศึกษา
P. 38
14-28 สอื่ ศึกษา
3. ทฤษฎีเควียร์
คณุ ปู การจากการศกึ ษาของนักสตรนี ยิ มทส่ี �ำคญั คอื การตีความเรอื่ งเพศสภาวะใหมใ่ หม้ กี รอบที่
กวา้ งกวา่ เดมิ และยงั นำ� ไปสกู่ ารใหศ้ กึ ษาความเปน็ เพศในมติ คิ วามสมั พนั ธร์ ะหวา่ งอตั ลกั ษณแ์ ละพฤตกิ รรม
ทางเพศ รวมถึงแสดงให้เหน็ ถึงกลุ่มคน เช่น รกั ร่วมเพศ (homosexual) รักสองเพศ (bisexual) ซ่ึงเป็น
กลมุ่ คนทถ่ี กู สงั คมจำ� แนกใหเ้ ปน็ กลมุ่ ทเี่ บยี่ งเบนไปจากคา่ นยิ มของสงั คมทย่ี ดึ มน่ั ในความสมั พนั ธแ์ บบชาย
หญิงหรือรักต่างเพศ (heterosexual) ท�ำให้เกิดการขยายขอบเขตการศึกษา จากเพศสภาวะแบบความ
เปน็ หญงิ เปน็ ชายใหค้ รอบคลุมถึงเพศอื่นๆ เปน็ ทฤษฎีเควยี ร์ (Queer Theory)
นิรุกติศาสตรข์ องค�ำว่า เควียร์ (queer) ในภาษาอังกฤษ หมายถึง ความแปลก พลิ กึ เปน็ ความ
หมายในแง่ลบและเหยียดหยาม การใช้ค�ำว่าเควียร์ในบริบทของผู้มีความหลากหลายทางเพศมีการน�ำไป
ใช้อยา่ งหลากหลาย เพ่ือแยกกล่มุ ตนเองออกจากกลมุ่ ผมู้ คี วามหลากหลายทางเพศกลมุ่ อื่นๆ เชน่ ใช้แทน
กลุ่ม “เกย์รุ่นใหม่” ที่มีความแตกต่างจากเกย์รุ่นเก่า บางกลุ่มน�ำไปใช้เพื่อแยกกลุ่มตนเองออกจากกลุ่ม
เกย์ที่ชอบแสดงออกแบบผู้หญิงหรือกะเทย แสดงให้เห็นว่าปริมณฑลเรื่องเพศเป็นพ้ืนที่ของอ�ำนาจ การ
ตอ่ รอง และการชว่ งชงิ ความหมายทแ่ี นวคดิ แบบเควยี รพ์ ยายามจะรอ้ื สรา้ งและสำ� รวจทม่ี าทไี่ ปของอำ� นาจ
ทม่ี อี ทิ ธิพลตอ่ การสร้างความรู้ การจดั ระเบยี บ และการควบคมุ เร่อื งเพศในสงั คม
แนวคิดเรอื่ งเควียร์ไดร้ ับอิทธพิ ลมาจากทฤษฎีสตรีนิยม (Feminism Theory) แนวคิดเรื่องการ
รื้อสร้าง (Deconstruction) ของ ฌารค์ เดอรร์ ดิ า (Jacque Derrida) และแนวคดิ เรอ่ื งอำ� นาจ (Power)
ของ มเิ ชล ฟโู กต์ (Michel Foucault) มาใชเ้ ปน็ กรอบในการวเิ คราะหค์ วามสมั พนั ธเ์ ชงิ อำ� นาจในวฒั นธรรม
ท่ีสร้างวาทกรรมทางเพศ ร้ือท�ำลายกรอบคิดแบบกระแสหลักท่ีมีอิทธิพลในการก�ำหนดความคิดเร่ืองเพศ
ของคนในสงั คม จูดิธ บัตเลอร์ (1993) อธิบายวา่ แนวคดิ เรอ่ื งเควียรพ์ ยายามชีใ้ หเ้ ห็นถงึ อทิ ธิพลความรู้
ของเพศศาสตร์ (Sexology) ซ่ึงอธบิ ายเพศมนษุ ยด์ ว้ ยปัจจัยทางชวี วทิ ยาเขา้ มาครอบงำ� เรอื่ งเพศสภาวะ
(gender) และท�ำให้สังคมเช่ือว่า เพศสรีระคือสิ่งที่ก�ำหนดความเป็นหญิงและความเป็นชาย แต่เควียร์
มองว่าเพศสภาวะหญิงและชายไม่ได้เกิดจากปัจจัยทางชีววิทยา เช่น ฮฮร์โมน หรือยีนส์อย่างท่ีความรู้
ทางเพศศาสตร์อธบิ าย
ในบรบิ ทวชิ าการนนั้ ค�ำวา่ เควยี ร์ เปน็ ค�ำท่ใี ช้อธบิ ายปรากฏการณ์ทางสงั คมและวัฒนธรรมของ
รักร่วมเพศ เกดิ ข้ึนในช่วงทศวรรษที่ 1990 โดย เทเรซ่า เดอ ลอเรตสิ (Teresa de Lauretis) นักวชิ าการ
และนกั เคลอื่ นไหวเพอ่ื สทิ ธเิ กยเ์ ลสเบย้ี น ลอเรตสิ ตอ้ งการจะทา้ ทายความรกู้ ระแสหลกั ของแวดวงเกยแ์ ละ
เลสเบี้ยนศึกษาว่า การมองเร่ืองเพศในแบบประจักษ์นิยม (empiricism) และมองอัตลักษณ์ทางเพศว่า
เปน็ แกน่ แทใ้ นตวั เอง เปน็ อนั ตรายตอ่ การทำ� ความเขา้ ใจวา่ “อะไรคอื เพศทถ่ี กู สรา้ ง” ขน้ึ อกี ทงั้ วฒั นธรรม
เกยเ์ ลสเบย้ี นมคี วามเปน็ การเมอื งสงู กลา่ วคอื มคี วามซบั ซอ้ นและไมล่ งรอยกนั หลายอยา่ งภายในวฒั นธรรม
เอง แต่เกย์เลสเบี้ยนผิวขาวท่ีอยู่ในชนชั้นกลางมักจะมีบทบาทชี้น�ำสังคมมากว่าเกย์เลสเบ้ียนกลุ่มอ่ืนๆ
(นฤพนธ์ ดว้ งวิเศษ, 2560)
นฤพนธ์ ดว้ งวเิ ศษ (2558) อธิบายถึงบรบิ ททางวชิ าการของทฤษฎเี ควียรว์ า่ ในโลกวชิ าการช่วง
ทศวรรษที่ 1970 นกั วชิ าการหลายคนไดต้ งั้ คำ� ถามถงึ วธิ กี ารหาความรแู้ ละความจรงิ เกย่ี วกบั สงั คมและชวี ติ
มนุษย์และท้าทายทฤษฎีที่อาศัยหลักเหตุผลแบบวิทยาศาสตร์เป็นศูนย์กลางในการอธิบายความจริงเชิง