Page 43 - สื่อศึกษา
P. 43

สือ่ กับเพศสภาวะ 14-33
เพศ แมว้ า่ บทบาทของผชู้ ายจะเปลย่ี นแปลงไป ใหค้ วามสำ� คญั กบั การเปน็ ผชู้ ายทหี่ ว่ งใยและรจู้ กั ดแู ลผอู้ นื่
แต่ในขณะเดยี วกนั ความสมั พันธ์ระหว่างชายหญงิ ยงั คงอยใู่ ต้กรอบแนวคดิ ปิตาธิปไตย ยิง่ ไปกวา่ นัน้ ภาพ
ของผู้ชายยังคงอยู่ในฐานะที่พึ่งพงิ ของผูห้ ญิง

       นอกจากศกึ ษาภาพสะทอ้ นและบทบาททางเพศของผหู้ ญงิ ผชู้ ายและเพศอน่ื ๆ แลว้ ยงั ศกึ ษาภาพ
สะทอ้ นทเี่ ปน็ กลมุ่ เฉพาะ เช่น ภาพของโสเภณี ในงานวจิ ยั เรอ่ื ง ภาพของโสเภณใี นละครโทรทัศน์ ปี พ.ศ.
2535 ของ รชั ดา แดงจำ� รญู (2538) ทพ่ี บวา่ ภาพของโสเภณที ถ่ี กู นำ� เสนอสว่ นใหญย่ งั มลี กั ษณะเปน็ ภาพ
แบบฉบับ คอื แต่งตวั โป๊ แต่งหน้าเข้ม ท่าทางจดั จา้ น ซึง่ เปน็ ภาพของ “ผู้หญิงไมด่ ใี นสายตาของสังคม”
และถงึ แม้ละครจะพยายามเสนอมมุ มองทแ่ี ตกตา่ ง เชน่ ความมนี ้ำ� ใจ ปรารถนาดีตอ่ ผ้อู น่ื แต่ก็พบว่าภาพ
เหลา่ นม้ี ีเพยี งสว่ นน้อยเทา่ นั้น

       สว่ นภาพของผมู้ คี วามหลากหลายทางเพศนนั้ ในงานวจิ ยั ของ เกศนิ ี ดำ� รสิ ถลมารค (2555) ทศี่ กึ ษา
ภาพลกั ษณข์ องหญงิ รกั รว่ มเพศทปี่ รากฏอยใู่ นภาพยนตรเ์ อเชยี ตะวนั ออก พบวา่ ภาพยนตรน์ ยิ มนำ� เสนอ
ภาพของตวั ละครในชว่ งวยั ผใู้ หญท่ ตี่ อ้ งตอ่ สเู้ พอื่ ความรกั และกรอบทางสงั คม ตวั ละครมกั มลี กั ษณะของการ
เป็นรักร่วมเพศท่ีไม่ชัดเจนนัก และมักถูกเพิ่มบทบาทการรักสองเพศหรือไบเซ็กชวล (bisexual) เข้าไป
ด้วย ซ่ึงผู้เขียนเห็นว่าเป็นการต่อรองของผู้สร้างท่ีต้องน�ำเสนอภาพยนตร์ภายใต้บริบทสังคมวัฒนธรรมท่ี
ยังไม่เปิดกว้างส�ำหรับความรักของคนเพศเดียวกัน ส่วนด้านความสัมพันธ์ระหว่างตัวละคร เกศินีพบว่า
ตวั ละครตา่ งมคี วามสมั พนั ธท์ ห่ี ลากหลายกบั บคุ คลรอบขา้ งพบทง้ั ความสมั พนั ธท์ ดี่ แี ละไมด่ ี กลา่ วคอื ความ
สัมพันธ์ท่ีไม่ดีส่วนมากจะเป็นความสัมพันธ์กับคนในครอบครัวและเป็นเพศชาย ซ่ึงสะท้อนให้เห็นถึง
คา่ นยิ มเร่อื งครอบครัวและชายเป็นใหญ่ท่ยี ังคงชดั เจนอย่ใู นวฒั นธรรมเอเชียตะวนั ออก

       อย่างไรก็ดี กาญจนา แกว้ เทพ (2554, น. 278) เสนอวา่ ในการศึกษาเรือ่ งภาพสะท้อน ผศู้ ึกษา
ควรต้ังค�ำถามต่อไปว่า ภาพดังกล่าวไม่ว่าจะเป็นภาพความเป็นหญิง ภาพความเป็นชาย หรือความเป็น
เพศอื่นๆ นั้นก่อตัวข้ึนมาและถูกผลิตซ�้ำได้อย่างไร และภาพน้ันๆ ธ�ำรงรักษาให้ตัวมันเองหยุดนิ่งและ
คงภาพเดิมอย่างน้ันไว้ได้อย่างไร อีกทั้งภาพสะท้อนดังกล่าวมีความสัมพันธ์กับการเปล่ียนแปลงในโลก
ความเป็นจริงมากนอ้ ยเพยี งใด

3. 	ทฤษฎีการใช้ประโยชน์และความพึงพอใจ

       ทฤษฎสี อื่ มวลชนทม่ี ลี กั ษณะตรงขา้ มกบั ทฤษฎผี ลกระทบของสอ่ื คอื ทฤษฎกี ารใชป้ ระโยชนแ์ ละ
ความพงึ พอใจ (Uses and Gratification) ทเ่ี ชอื่ วา่ ในทกุ ขนั้ ตอนของการใชส้ อ่ื และการเปดิ รบั สารนน้ั ลว้ น
แต่เป็นกระบวนการเลือกตัดสินใจทั้งสิ้น และผู้รับสารมีลักษณะกระตือรือร้น เป็นผู้รับสารเชิงรุก (active
audience) ดงั นนั้ ผรู้ บั สารจงึ มลี กั ษณะเปน็ ผใู้ ชส้ อื่ (user) มากกวา่ จะเปน็ ผตู้ งั้ รบั สาร (passive audience)
ทั้งนี้ในด้านการส่ือสารมวลชนมักจะพิจารณาว่าผู้รับสารเป็นผู้มีอ�ำนาจน้อยกว่าผู้ส่งสารซึ่งเป็นผู้มีอ�ำนาจ
ในการเขา้ รหสั แตใ่ นการวจิ ยั แนวการใชป้ ระโยชนแ์ ละความพงึ พอใจจากสอ่ื ใหค้ วามสำ� คญั กบั ความตอ้ งการ
ของผรู้ บั สารวา่ ผรู้ บั สารตอ้ งการอะไรและสอ่ื สามารถตอบสนองความตอ้ งการหรอื ความพงึ พอใจไดห้ รอื ไม่
จงึ นำ� ไปสู่คำ� ถามท่ีวา่ ผรู้ ับสารจะท�ำอะไรกบั สอื่ ไดบ้ า้ ง เน่ืองจากผรู้ บั สารเปน็ ผู้เลือกเปิดรบั สอ่ื เลอื กรับรู้
   38   39   40   41   42   43   44   45   46   47   48