Page 42 - สื่อศึกษา
P. 42
14-32 สอื่ ศึกษา
การศกึ ษาผลกระทบของสอื่ ตอ่ ผรู้ บั สารทเ่ี ปน็ ผหู้ ญงิ มกั จะเปน็ ผลงานของนกั สตรนี ยิ มแนวเสรนี ยิ ม
ทเี่ ชอ่ื ในศกั ยภาพของสอ่ื มวลชนวา่ สอ่ื มวลชนทำ� หนา้ ทใ่ี นการพฒั นาศกั ยภาพของผหู้ ญงิ ใหส้ งู ขน้ึ ในขณะ
เดยี วกนั กท็ ำ� หนา้ ทบ่ี ม่ เพาะบทบาททางเพศใหเ้ ปน็ ไปตามความคาดหวงั ของสงั คมไปในเวลาเดยี วกนั เชน่
การศึกษาบทบาทของสื่อมวลชนในการบ่มเพาะความเป็นแม่ เช่น งานวิจัยของ วิภา น�ำลาภ (2541)
ทศี่ กึ ษา บทบาทของนติ ยสารผหู้ ญงิ แนวครอบครวั ในการพฒั นาครอบครวั ผลการวจิ ยั พบวา่ นติ ยสารผหู้ ญงิ
แนวครอบครวั นำ� เสนอเนอ้ื หาเกย่ี วกบั การเขา้ ใจถงึ วธิ กี ารเลยี้ งลกู ทถี่ กู ตอ้ ง การดแู ลสขุ ภาพของสมาชกิ ใน
ครอบครวั และการสรา้ งความสมั พนั ธท์ ด่ี กี บั ลกู ซง่ึ มบี ทบาทส�ำคญั ในการพฒั นาหนา้ ท่ี “แม”่ และ “เมยี ”
ในครอบครวั ของผอู้ า่ น ซ่งึ กาญจนา แก้วเทพ (2557) เหน็ ว่า แมจ้ ะมองเห็นว่าผรู้ บั สารเปน็ ผูห้ ญิง แตย่ ัง
ไมไ่ ด้อธบิ ายวา่ “ความเปน็ หญิง” ได้เขา้ มาเกย่ี วข้องกับผูร้ บั สารอยา่ งไร
2. ทฤษฎีภาพสะท้อน
ทฤษฎภี าพสะทอ้ น (Reflection Theory) นนั้ เปน็ กลมุ่ ยอ่ ยในทฤษฎคี วามสมั พนั ธร์ ะหวา่ งสอ่ื กบั
สงั คม (media and society) ทม่ี องว่า สื่อมคี วามสมั พนั ธก์ ับสงั คมในหลายรปู แบบด้วยกนั รปู แบบหนึ่ง
คือสอื่ ทำ� หนา้ ท่ีเป็นกระจกสะทอ้ นความเปน็ จริงในสังคม ทฤษฎีนเ้ี ร่มิ น�ำมาใชใ้ นการศึกษาดา้ นการส่ือสาร
ในชว่ งทศวรรษ 1940 ซง่ึ เปน็ ชว่ งเดยี วกบั เรยี กรอ้ งสทิ ธสิ ตรใี นประเทศตะวนั ตก ดงั นนั้ นกั วชิ าการสตรนี ยิ ม
สายเสรนี ยิ มจงึ ไดใ้ ชแ้ นวคดิ หลกั ของทฤษฎภี าพสะทอ้ นมาใชเ้ พอ่ื ตรวจสอบภาพสะทอ้ นบทบาทหญงิ -ชาย
แนวทางในการตั้งค�ำถามของทฤษฎีภาพสะท้อนนั้น เป็นการส�ำรวจว่าภาพของความเป็นเพศ
แต่ละเพศเปน็ ภาพอะไรบ้าง เช่น ผู้ชายเปน็ ผนู้ �ำ ผหู้ ญงิ เป็นผูต้ าม ผูท้ ี่มีความหลากหลายทางเพศถกู น�ำ
เสนออย่างไรในผลงานสื่อนั้นๆ งานศึกษาที่วิเคราะห์เน้ือหารายการเกือบทุกประเภทมักจะพบว่า ในเชิง
ปริมาณมีภาพผู้หญิงน้อยกว่าผู้ชายเสมอ โดยเฉพาะรายการประเภทเรื่องจริง มีสาระ (journalistic/
factual) เชน่ รายการข่าว สารคดี ซ่งึ อาจมองได้ว่าในโลกของส่อื ผูห้ ญงิ ก็มีความสำ� คัญน้อยกว่าผู้ชาย
การนำ� เสนอภาพของผหู้ ญงิ ผชู้ าย หรอื ผมู้ คี วามหลากหลายทางเพศในสอ่ื ประเภทตา่ งๆ มคี วาม
แตกต่างกัน คือ บทบาทของผู้หญิงจะมีลักษณะตายตัว เป็นภาพแบบด้ังเดิมและถูกน�ำเสนอเพียงไม่กี่
บทบาท เช่น ภาพแม่ ภรรยา ผ้สู นับสนนุ สตั ว์โลกท่สี วยงาม ส่วนภาพของผู้มคี วามหลากหลายทางเพศ
จะถูกผูกกับความตลกขบขัน บ้าผู้ชาย ซ่ึงนักสตรีนิยมเชื่อว่า การน�ำเสนอภาพต่างๆ ในส่ือน้ันเป็น
กระบวนการสรา้ งภาพตวั แทน (representation) เพอื่ ทำ� ใหส้ งั คมเกดิ ความคดิ วา่ “เมอ่ื นกึ ถงึ เพศนน้ั ๆ จะ
นกึ ถงึ อะไร” ขณะทีภ่ าพของผ้ชู ายจะมีความไหลลน่ื มากกวา่ ดังงานวิจยั เรื่อง ความเปน็ ชายในนวนิยาย
ของนโิ คลัส สปารก์ ส์ ของ กญั ญ์ณพชั ญ์ พรรณรตั น์ (2559) ทีพ่ บว่า ภาพสะทอ้ นของตวั ละครเอกชายมี
ลกั ษณะยอ้ นแยง้ กลา่ วคอื มที ง้ั ความแตกตา่ งและสอดคลอ้ งกบั ลกั ษณะความเปน็ ชายแบบอำ� นาจนำ� ผา่ น
การสร้างตวั ละครแบบผสมผสานระหวา่ งการมรี ูปลกั ษณภ์ ายนอกที่แข็งแรง บกึ บึน และมอี าชีพตามขนบ
ทแี่ สดงให้เห็นความกล้าหาญ การใช้อ�ำนาจ ความแข็งแรง และความเป็นวีรบรุ ษุ แต่มีจดุ ออ่ น มบี าดแผล
ฝังใจท่ีสั่นคลอนความเป็นชายจนน�ำไปสู่การเกิดวิกฤตความเป็นชาย รูปร่างของผู้ชายมีความดึงดูดและ
สร้างอ�ำนาจให้กับผู้ชาย ขณะเดียวกันก็เป็นวัตถุแห่งการจ้องมองของผู้หญิง ลักษณะความเป็นชายที่
พงึ ประสงคค์ อื มคี วามออ่ นโยน มศี ลี ธรรม เปน็ สภุ าพบรุ ษุ ปฏเิ สธความรนุ แรง กดทบั ความปรารถนาทาง