Page 44 - สื่อศึกษา
P. 44

14-34 ส่ือศกึ ษา
เลือกตีความเน้ือหาสาระตามความต้องการของตนเอง และเม่ือผู้รับสารรู้สึกไม่พึงพอใจกับการใช้สื่อนั้น
ผรู้ ับสารก็สามารถเปลีย่ นไปใชส้ ือ่ ประเภทอื่นได้

       งานศกึ ษาทใ่ี ชท้ ฤษฎกี ารใชส้ อื่ และความพงึ พอใจของผหู้ ญงิ เปน็ งานทมี่ ผี ทู้ ำ� การศกึ ษาเปน็ จำ� นวน
มาก จากการค้นคว้าผู้เขียนจึงได้ข้อสรุปเป็น 2 แนวทาง คือ 1) ผู้หญิงใช้สื่อเพื่อประโยชน์ส่วนตัวของ
ผหู้ ญงิ ซงึ่ ประกอบดว้ ยการพฒั นาศกั ยภาพของตนเอง และการตอบสนองความตอ้ งการดา้ นความรนื่ รมย์
และ 2) ใช้ส่ือเพอ่ื เตมิ เตม็ บทบาทหนา้ ทข่ี องการเป็นภรรยาและแม่

       3.1 	การใช้ส่ือเพ่ือพัฒนาตนเองของผู้หญิง น้ันเป็นการใช้สื่อท่ีผู้หญิงต้องการน�ำความรู้และ
ข่าวสารท่ีเปิดรับมาประยุกต์ใช้กับตนเอง หรือน�ำมาพัฒนาศักยภาพให้ตนเองมีความรู้ความสามารถและ
เป็นตัวช่วยในการตัดสนิ ใจได้ ดงั ผลการศึกษาของ สุกญั ญา เพียรธุระกจิ (2539) ท่ีศึกษาการเปดิ รบั ชม
รายการโทรทัศน์สำ� หรบั ผหู้ ญงิ กบั การรับรูป้ ระโยชน์และการน�ำไปใช้ และขนษิ ฐา วรรณธนปรีชา (2542)
ที่ศึกษาการใช้ประโยชน์ของผู้หญิงท่ีฟังรายการคลื่นหญิงพลังหญิง งานวิจัยท้ัง 2 เรื่อง มีข้อค้นพบท่ี
สอดคลอ้ งกันคอื ผูห้ ญิงใช้ประโยชนจ์ ากการเปิดรับส่อื เพื่อการพฒั นาตนเอง การดูแลสุขภาพรา่ งกายและ
บุคลิกภาพ สร้างความเชอ่ื ม่ันใหก้ ับตนเอง

       งานวิจัยของ ตวงพร เกตุสมบูรณ์ (2555) ท่ีศึกษาการใช้อินเทอร์เน็ตกับบทบาทความเป็น
แม่บ้าน ยังพบว่า ผู้หญิงใช้อินเทอร์เน็ตเป็นพื้นที่ในการแสดงความคิดเห็น ท�ำให้ผู้หญิงเกิดความรู้สึก
ภาคภมู ิใจในตนเอง (self-esteem) ซ่ึง ตวงพร เห็นว่า การทผ่ี ูห้ ญงิ มพี ้นื ทีใ่ นการแสดงความคิดเห็นเป็น
ของตนเอง และผหู้ ญงิ เปลยี่ นสถานะจากผรู้ บั สารมาเปน็ ผใู้ หข้ อ้ มลู นนั้ จะทำ� ใหผ้ หู้ ญงิ มอี ำ� นาจในการสอื่ สาร
และท�ำใหส้ งั คมเหน็ ถึงคณุ คา่ และความส�ำคญั ของบทบาทเพศหญงิ มากขน้ึ

       3.2 	การใชส้ อื่ เพอื่ ตอบสนองความรนื่ รมยแ์ ละคลายเครยี ดจากการทำ� งานบา้ นนน้ั สมสขุ หนิ วมิ าน
(2544) ไดส้ าธติ ให้เห็นวา่ ผหู้ ญิงใชก้ ารอา่ นหนงั สอื เพ่ือสร้างช่วงเวลาที่ “เป็นตัวของตัวเอง” โดยเฉพาะ
อยา่ งยงิ่ การอา่ นหนงั สอื ทเี่ ปน็ “รปู แบบผหู้ ญงิ ๆ” (femino-centric popular form) สมสขุ ไดย้ กตวั อยา่ ง
การอา่ นนติ ยสารและนวนยิ ายทนี่ กั วชิ าการตา่ งชาตไิ ดท้ ำ� การศกึ ษาไว้ เชน่ การศกึ ษาเกย่ี วกบั การอา่ นนยิ าย
โรมานซข์ อง จานสิ รดั เวย์ (Janice Radway, 1987) ชี้ให้เห็นวา่ การอา่ นนยิ ายเปน็ กิจกรรมที่ผหู้ ญงิ ทำ�
เพื่อตัวเอง ดังนั้นการอา่ นนิยายโรมานซ์จึงเป็นการประกาศอิสรภาพ (Declaration of Independence)
สอดคลอ้ งกบั โจ๊ก เออร์เมส (Joke Hermes, 1995) ที่ไดศ้ ึกษาผ้หู ญิงกบั การอา่ นนิตยสารพบวา่ ผูห้ ญิง
อา่ นนติ ยสารเพราะนติ ยสารชว่ ยฆา่ เวลาทว่ี า่ งและสามารถหยบิ ฉวยไดง้ า่ ย และเมอ่ื ตอ้ งไปทำ� กจิ กรรมอนื่ ๆ
ก็สามารถวางลงได้ทันที ดังนั้นอาจกล่าวได้ว่า การอ่านหนังสือและนิตยสารของผู้หญิงเป็นไปเพ่ือสร้าง
ความพงึ พอใจหรือคลายเครยี ดใหก้ บั ตนเอง

       นอกจากผหู้ ญงิ จะใชส้ อ่ื เพอ่ื คลายเครยี ดและความเหนอ่ื ยลา้ จากการทำ� งานบา้ นแลว้ การใชส้ อื่ ของ
ผู้หญิงยังมีอุดมการณ์แบบผู้หญิงๆ เข้ามาก�ำกับพฤติกรรมการใช้เพ่ือเติมเต็ม “ความเป็นแม่บ้าน” ด้วย
เช่นกัน กล่าวคือ ผู้หญิงโดยเฉพาะแม่บ้านจะใช้สื่อตามบทบาทหน้าท่ีของความเป็นแม่และภรรยา เช่น
งานวิจัยเร่ืองความเป็นแม่บ้านและการบริโภคส่ือแนวเล่าข่าวสารของ นันทกา สุธรรมประเสริฐ (2547)
ท่ีพบว่า การชมรายการข่าวโทรทัศน์ของแม่บ้านมีลักษณะแบบดูครึ่งท�ำอย่างอ่ืนคร่ึง (half watching)
หรอื ชมรายการอย่างไมต่ อ่ เน่ือง (in and out) เนอื่ งจากภาระงานบา้ นทมี่ ใี ห้ทำ� อย่างไมจ่ บสน้ิ ประกอบ
   39   40   41   42   43   44   45   46   47   48   49