Page 39 - สื่อศึกษา
P. 39
สอ่ื กบั เพศสภาวะ 14-29
ประจักษ์หรือความรู้ท่ีสามารถพิสูจน์ได้ตามหลักวิทยาศาสตร์ เกิดการแบ่งแยกวัตถุวิสัยออกจากอัตวิสัย
เกดิ การแยกขว้ั ตรงขา้ ม (binary opposition) ซง่ึ มอี ทิ ธพิ ลตอ่ การสรา้ งกระบวนทศั นใ์ นการจดั ระเบยี บสง่ิ
ตา่ งๆ ออกเปน็ คตู่ รงขา้ ม เชน่ รา่ งกายกบั จติ ใจ ผหู้ ญงิ กบั ผชู้ าย ความดคี วามชวั่ ธรรมชาตกิ บั ผดิ ธรรมชาติ
แขง็ แรงกับออ่ นแอ ฯลฯ ทัง้ น้กี ระบวนทศั น์หลังยุคสมัยใหม่ (Postmodern Paradigm) ไดต้ ั้งค�ำถามตอ่
การจัดระเบียบแบบคู่ตรงข้ามว่า “ท�ำให้เกิดการแบ่งแยก/กีดกัน ทางสังคมหรือไม่” เน่ืองจากการแบ่งคู่
ตรงขา้ มจะมาพรอ้ มกบั การจดั ชว่ งชน้ั และการใหค้ ณุ คา่ ซงึ่ จะมดี า้ นหนง่ึ ดกี วา่ ดา้ นหนงึ่ เสมอ เชน่ กลา้ มเนอื้
ของผชู้ ายแขง็ แรงกวา่ กลา้ มเนอื้ ของผหู้ ญงิ ผชู้ ายเปน็ เพศทใี่ ชเ้ หตผุ ลผหู้ ญงิ เปน็ เพศทใ่ี ชอ้ ารมณ์ ซงึ่ นกั สตรี
นิยมได้ชใี้ หเ้ หน็ ว่า การจดั ชว่ งชัน้ ทางเพศเป็นอคติทางสงั คม
ในปลายศตวรรษท่ี 19 แนวคิดเรื่องเพศวิถี (Sexuality) จัดแบ่งเพศวิถีของมนุษย์ออกเป็น 3
แบบ คอื รักตา่ งเพศ (Heterosexuality) รักสองเพศ (Bisexuality) และรกั เพศเดียวกัน (Homosexu-
ality) โดยใชเ้ พศสรรี ะเปน็ เกณฑใ์ นการจดั แบง่ พรอ้ มกบั อธบิ ายวา่ อารมณร์ กั ตา่ งเพศเปน็ สง่ิ ทถ่ี กู ตอ้ งตาม
ธรรมชาติ สว่ นอารมณร์ กั เพศเดยี วกนั หรอื รกั สองเพศเปน็ สง่ิ ทผี่ ดิ ธรรมชาติ ซงึ่ นกั คดิ ในกลมุ่ ทฤษฎเี ควยี ร์
วิพากษ์ว่า ในสังคมตะวันตกนับแต่การปฏิวัติอุตสาหกรรมเป็นต้นมา ระบบทุนนิยมและอุดมการณ์
ประชาธปิ ไตยตอ้ งการจดั ระเบยี บความสมั พนั ธท์ างเพศของมนษุ ยใ์ หส้ อดคลอ้ งกบั วถิ กี ารผลติ และการสรา้ ง
ครอบครัวเพื่อรองรับการขยายตัวของเศรษฐกิจ ท�ำให้การแต่งงานและมีบุตรเป็นอุดมการณ์ของทุนนิยม
สมยั ใหมซ่ ง่ึ สอดคลอ้ งกบั คำ� สอนของครสิ ตศ์ าสนา ดงั นน้ั วฒั นธรรมตะวนั ตกจงึ ใหค้ วามหมายวา่ การมเี พศ
สัมพนั ธ์ระหว่างชายหญงิ เปน็ เรอื่ งท่ีถูกตอ้ ง ส่วนความสัมพนั ธข์ องเพศเดียวกันเป็นเรอ่ื งผิดบาป
นฤพนธ์ (2558) เหน็ ว่า สุดทา้ ยแล้วเปา้ หมายของทฤษฎีเควยี ร์ คอื การชใี้ หเ้ ห็นถึงสิง่ ทีห่ ่อหุ้ม
บรรทัดฐานทางสังคมท้ังหมด ดังนั้นการวิจารณ์และท้าทายบรรทัดฐานของรักต่างเพศจึงเป็นเป้าหมาย
สำ� คัญของทฤษฎเี ควียร์ เนอ่ื งจากบรรทดั ฐานดังกล่าวน�ำไปส่กู ารสร้างอคตทิ างเพศต่อคนขา้ มเพศและคน
รกั เพศเดยี วกนั ซงึ่ ถกู ผลติ ซำ้� ผา่ นสอื่ มวลชน รวมถงึ การวจิ ารณส์ งั คมของผมู้ คี วามหลากหลายทางเพศดว้ ย
เชน่ กนั เนอ่ื งจากวฒั นธรรมเกยเ์ ลสเบยี้ นตา่ งกต็ กอยภู่ ายใตว้ ธิ คี ดิ และอดุ มการณแ์ บบรกั ตา่ งเพศ ซงึ่ ทำ� ให้
ผู้มีความหลากหลายทางเพศมองอัตลักษณ์ของตนเองเป็นคู่ตรงข้ามกับชายหญิง ซึ่งวิธีคิดดังกล่าวไม่ได้
ปลดเปล้ืองผู้มีความหลากหลายทางเพศออกจากบรรทัดฐานทางสังคมท่ีเป็นผลผลิตจากวิธีคิดแบบ
วิทยาศาสตรท์ ่มี องอตั ลักษณ์ทางเพศวา่ มแี กน่ แทใ้ นตวั เอง (essence) ซึง่ น�ำไปสู่การเปรียบต่าง กลา่ วคอื
ในกลุ่มของผู้มีความหลากหลายทางเพศได้สร้างบรรทัดฐานของกลุ่มรักเพศเดียวกันขึ้นมา (homonor-
mativity) (Duggan, 2002 อา้ งใน นฤพนธ์ ดว้ งวเิ ศษ, 2558) จนท�ำใหเ้ กิดอคติ การกีดกัน และการ
เลอื กปฏิบัติ เชน่ เกย์ชนช้ันกลางตะวนั ตกจะดหู ม่นิ เกย์ท่ีเปน็ คนผวิ ดำ� หรอื เกย์รงั เกยี จกะเทย ซึง่ ไมแ่ ตก
ต่างจากท่สี ังคมยกยอ่ งชายเป็นใหญ่ และเชดิ ชูเพศวถิ ีแบบรกั ตา่ งเพศในฐานะทเี่ ปน็ เพศวิถีท่ีเจริญแลว้
จตรุ วิทย์ ทองเมอื ง (2551, น. 47-48) ได้สรปุ ประเดน็ ทีท่ ฤษฎเี ควยี รเ์ น้นย้�ำไว้ 5 ประเดน็ ดงั นี้
1. อธบิ ายถงึ การเรียกร้องความชอบธรรมและความเสมอภาคทางสงั คมและวัฒนธรรมให้กลุ่ม
คนท่ีมีความหลากหลายทางเพศ ในขณะเดียวกันก็วิพากษ์วาทกรรมของคนรักเพศเดียวกันซ่ึงเดินรอย
ตามวาทกรรมกระแสหลักท่ียอมรับการแบ่งเพศแบบตรงข้าม คือ หญิงชาย เป็นวาทกรรมท่ีกลุ่มรักเพศ