Page 49 - ภาษาถิ่นและวรรณกรรมท้องถิ่นไทย
P. 49
วรรณกรรมทอ้ งถ่ินของกลมุ่ ชาตพิ นั ธ์ใุ นประเทศไทย 12-39
ในโลกนี้ล้วนเป็นพี่น้องร่วมท้องเดียวกัน ต่อจากน้ันก็ทรงฝากให้มารดาของพระองค์ ช้ีแนะและอบรม
สัง่ สอนมนษุ ยใ์ นการทจ่ี ะมีชวี ิตอยูบ่ นโลก (กุลวดี เจริญศรี และคณะ, 2561)
วรรณกรรมคัดสรรกลุ่มเย้า
วรรณกรรมเรอื่ ง “เกีย เซ็น ป๊อง” ของเยา้ (เมย่ี น) เปน็ พระราชสาสน์ ของพระเจา้ ผงิ หวางใหช้ าว
เย้า (เม่ียน) ใช้ป้องกันตัวส�ำหรับการเดินทางข้ามภูเขาฉบับถาวร บันทึกด้วยอักษรจีน ซ่ึงเป็นเรื่องราว
ของชาวเย้า และถือกันว่าเป็นวรรณกรรมส�ำคัญของชาวเย้า แม้จะเป็นลายลักษณ์แต่มีการถ่ายทอดเป็น
มุขปาฐะสืบเนื่องมา โดยมีใจความส�ำคัญกล่าวถึง ผิงหวางฮ่องเต้ได้ออกหนังสือเดินทางฉบับน้ีให้แก่
พระราชธดิ า เพอื่ เดนิ ทางไปสรา้ งเมอื งและนริ โทษกรรมใหช้ าวเยา้ ทเี่ คยทำ� การสรู้ บกนั เมอ่ื อดตี มขี อ้ ความ
ในหนงั สอื เดนิ ทางวา่ ลงเรอื ไมต่ อ้ งเสยี คา่ เรอื ไปถงึ ทใ่ี ดทไ่ี มใ่ ชท่ น่ี าชาวบา้ นกท็ ำ� มาหากนิ ไดเ้ ลย ลกู หลาน
ท่ีเกิดมาก็ยกเว้นการเกณฑ์ทหาร เป็นราชโองการถ้าเจ้าเมืองที่ใดเห็นราชโองการนี้ก็ต้องท�ำตาม เมื่อ
พระราชธิดาใหก้ ำ� เนิดบตุ รทั้ง 12 จึงได้ต้งั ชอื่ ใหท้ ั้ง 12 คน จากชอื่ กลายมาเปน็ แซ่ เผ่าเย้าจึงมีท้งั หมด 12
แซ่ ใน 12 แซก่ จ็ ะกระจายกนั อยใู่ นจนี ตะวนั ออก และมหี นงั สอื เดนิ ทาง 12 ฉบบั ใหไ้ วก้ บั ทงั้ 12 แซ่ สำ� หรบั
ถือเดินทางไปด้วยในทุกท่ีที่ไป ต่อมากลุ่มเย้าที่หนีออกจากจีน จะเป็นผู้ถือหนังสือและตราพระราชทาน
ตามไปด้วย หนงั สอื เดินทางของเผ่าเยา้ จงึ เขา้ มาในประเทศไทย เนอื้ หาของ “เกีย เซ็น ป๊อง” ไดม้ ผี แู้ ปล
มีใจความตอนหนง่ึ ดังนี้
วันท่ี 12 เดือน 12 ศักราชจ่ิงต้ึงปีท่ี 1 สมัย (ฮ่องเต้) เจ้ิงจุง นิรโทษชาวเย้า 12 แซ่ได้ตรา
พระราชสาส์นพระเจ้าผิดหวางฉบับใหม่ตามแบบราชวงศ์สมัยก่อนให้ชาวเย้าเก็บรักษาไว้ต่อไป พระราช
สาส์นพระเจ้าผิงหวางมีมานานแล้ว และได้กล่าวถึงต้นก�ำเนิดของชาวเย้าว่ามาจากสุนัขมังกรตั้งแต่สมัย
ดกึ ดำ� บรรพ์ กลา่ วคอื ในสมยั พระเจา้ ผงิ หวาง มสี นุ ขั มงั กรตวั หนงึ่ รา่ งยาว 3 ฟตุ ขนสเี หลอื งมลี าย ดแู ตกตา่ ง
จากสุนขั ธรรมดาทั่วไป
วันหนึ่ง พระเจ้าผิงหวางทรงพิโรธพระเจ้าเกาอ๋องผู้เป็นกษัตริย์ต่างเมือง จึงทรงด�ำริที่จะก�ำจัด
พระเจ้าเกาออ๋ ง เหล่าขุนนางกพ็ ากันปรึกษาหารือกันแต่ไม่มผี ใู้ นอาสา ขณะนน้ั สนุ ขั มังกรท่ีชือ่ วา่ “ผนั หู”
ก็พลันกระโดดออกมาจากทางด้านซ้ายของท้องพระโรง (ห้องออกขุนนาง) ถวายบังคมพระเจ้าผิงหวาง
ทำ� ใหท้ กุ คนแตกตนื่ ทนั ใดนนั้ ผนั หู กก็ ลา่ ววา่ “ผทู้ คี่ ดิ จะสนองพระมหากรณุ าธคิ ณุ จะตอ้ งมอี ดุ มการณใ์ น
การพฒั นาประเทศ พระองคม์ ที รงต้องถกเถียงปญั หากับเหลา่ ขุนนางให้เสยี เวลา เหตุไฉนจะต้องใช้ม้าศกึ
เปน็ หมนื่ ๆ ตวั การทจี่ ะกระทำ� ตามพระราชโองการแหง่ สวรรคน์ น้ั ขน้ึ อยกู่ บั การสงั เกตความเคลอ่ื นไหวอนั
ลกึ ลบั ”
พระเจา้ ผงิ หวางทรงไดฟ้ งั ดงั นนั้ จงึ ดพี ระทยั ยงิ่ นกั เมอื่ สตั วเ์ ดรจั ฉานกลา่ วคำ� วเิ ศษเชน่ น้ี ทงั้ ยงั มี
แผนอันอาจจะเอาชีวิตพระเจ้าเกาอ๋องได้ จากเราให้มันออกไปนอกเมืองจะต้องท�ำการได้ส�ำเร็จเป็นแน่
คนเรามีแต่จะคอยปอ้ งกันมิให้คนท�ำร้าย พระเจ้าเกาอ๋องไหนเลยจะคิดป้องกันเดรจั ฉาน เขา้ ไปจโู่ จม ทวา่
จะข้ามทะเลอันกว้างใหญ่ไพศาลที่ซ้�ำยังมีคล่ืนอันสูงใหญ่นี้ไปได้อย่างไร วันเดียวคงมิอาจข้ามไปได้ และ
แม้ว่าจะลอยน�้ำข้ามไปได้ แต่ก็มิอาจแบกเสบียงติดตัวไปด้วย ผันหูได้ยินดังนั้น จึงกราบทูลว่า “คนอด