Page 28 - ทฤษฎีและการวิจารณ์ภาพยนตร์
P. 28
3-18 ทฤษฎแี ละการวจิ ารณภ์ าพยนตร์
ซง่ึ เป็นเทคนิคการตดั ตอ่ ท่ี ดี ดบั เบ้ิลยู กริฟฟิธ (D.W. Driffith) ผ้กู ำ� กบั ชาวอเมริกันไดส้ รา้ งสรรคข์ น้ึ
มาอย่างไรท้ ีต่ ิ คูเลชอฟเองก็กลา่ ววา่ วิธีการมองทาจพฒั นาขน้ึ ในอเมรกิ า
แม้ว่าทฤษฎีของคูเลอชอฟยังคงมีคุณค่าอยู่ต่อมา แต่ก็มีผู้วิจารณ์ว่าความคิดของเขาบางอย่าง
ทำ� ใหเ้ กดิ ความเขา้ ใจผดิ ได้ เปน็ ตน้ วา่ การทค่ี เู ลอชอฟเหน็ วา่ ชอ็ ตเทา่ กบั คำ� (word) นน้ั นำ� ไปสคู่ วามเขา้ ใจ
ผิดวา่ ชอ็ ตสามารถและไม่สามารถบอกอะไรได้ ยิ่งความเชอ่ื ในวิธรี วมชอ็ ตเขา้ ดว้ ยกนั ว่ามีความสำ� คัญกวา่
ความหมายของมันก็ย่ิงท�ำให้เข้าใจกันไปผิดว่ารูปแบบมีความส�ำคัญมากกว่าเนื้อหา (Dick, 1998, pp.
236-237)
เลฟ คเู ลอชอฟ พยายามทจ่ี ะพสิ จู นว์ า่ ความหมายของชอ็ ตอาจเปลยี่ นแปลงเมอ่ื มกี ารเปลย่ี นแปลง
การวางช็อตที่อยู่ติดกัน เช่น เมื่อน�ำช็อตที่เห็นใบหน้าใกล้ของนักโทษมาวางต่อด้วยภาพถ้วยซุปย่อมให้
ความหมายทีต่ า่ งจากการวางตอ่ ด้วยภาพประตูเปดิ ออกสเู่ สรภี าพ (Nelmes, 1996, p. 180)
โดยทฤษฎีการตัดต่อของคูเลอชอฟนั้น เทคนิคมองทาจขึ้นกับทฤษฎีที่ว่าเมื่อช็อต 2 ช็อตมาวาง
เรียงกันผู้ชมจะสรุปได้ทันทีว่า 2 ช็อตน้ีมีความเกี่ยวข้องกันบางอย่าง หรืออีกนัยหน่ึงผู้ชมพยายามน�ำ
ช็อตท้ังสองมารวมกันเพ่ือหาความหมาย การทดลองวางช็อตวิธีน้ีของคูเลอชอฟได้เป็นรู้จักกันดีและถูก
เรียกว่า Kuleshov effect
คเู ลอชอฟไดท้ ดลองท�ำการตดั ต่อแบบอนื่ ๆ อกี เชน่ ตัดภาพยอ่ ยๆ หลายชอ็ ตของชายคนหน่ึง
ก�ำลังเดิน หญิงสาวก�ำลังคอย ประตู บันได และบ้านพัก เม่ือน�ำช็อตเหล่าน้ีมาต่อกันกลับท�ำให้คนดู
สันนิษฐานว่าแต่ละช็อตเป็นภาพของสถานท่ีเดียวกัน คูเลอชอฟจึงได้ค้นพบศักยภาพของภาพยนตร์ที่
สามารถเช่ือมโยงสิ่งที่ไม่เก่ียวกันให้มาเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันได้ เขาเรียกเทคนิควิธีน้ีว่า “creative geog-
raphy” การคน้ พบธรรมชาตขิ องสอื่ ภาพยนตรข์ องคเู ลอชอฟเชน่ นที้ ำ� ใหผ้ สู้ รา้ งภาพยนตรก์ ลมุ่ หนง่ึ ไดค้ วาม
คดิ วา่ ภาพยนตรส์ ามารถเข้าไปจดั การและลวงหลอกคนดไู ดอ้ ย่างไร (Nelmes, 1996, p. 335)
หลังจากการปฏิวตั ิ คูเลอชอฟได้รบั เชญิ ให้มาเปน็ ครูสอนภาพยนตรท์ ี่ State Film School ซ่งึ
เขากับกลุ่มนักเรียนได้ร่วมกันค้นคว้าทดลองเก่ียวกับการตัดต่อ อันได้แรงบันดาลใจส่วนหนึ่งมาจากการ
ขาดแคลนฟิล์มส�ำหรับถ่ายภาพยนตร์ การทดลองตัดต่อนี้ยังรวมถึงการน�ำภาพยนตร์เร่ือง Intolerance
(1916) ของดี ดับเบิล้ ยู กริฟฟธิ ซึง่ มีการตัดต่อเป็นท่ปี ระทบั ใจของคูเลอชอฟมาทดลองตัดตอ่ ใหม่ด้วย
การทดลองของคเู ลอชอฟไมไ่ ดจ้ ำ� กดั อยเู่ พยี งการตดั ตอ่ เทา่ นนั้ แตข่ ยายไปถงึ การแสดง (acting)
ดว้ ย เขาไมเ่ ชอ่ื วา่ นกั แสดงทฝ่ี กึ ฝนมาอยา่ งดโี ดยเฉพาะจากโรงละครมอสโควน์ น้ั จะเหมาะสมกบั การแสดง
ภาพยนตร์ เขาสร้างห้องปฏิบัติการการแสดงข้ึนเพื่อพัฒนาสไตล์การแสดงที่เหมาะสมส�ำหรับภาพยนตร์
และคัดเลือกผู้ที่จะมาแสดงภาพยนตร์อย่างพิถีพิถัน โดยต้องมีความสวยงามตามธรรมชาติ มีสุขภาพดี
และมีความสามารถท่ีจะนำ� เสนอความมงุ่ หมายออกมางา่ ยๆ ปราศจาก “การแสดง” หรือ “การสรา้ งขนึ้ ”
ไม่มีการปรุงแต่งด้วยการแต่งหน้า ใช้ผมปลอม และอุปกรณ์ประกอบ (props) ใดๆ เทคนิคที่คูเลอชอฟ
น�ำมาใช้ในการแสดงจึงเน้นท่ีอากัปกิริยาท่าทาง (gesture) และการเคลื่อนไหว (movement) ท่ีดูเป็น
ธรรมชาติและถูกจังหวะเวลาซึ่งต้องซักซ้อมกันให้แม่นย�ำที่สุด เพ่ือให้การประกอบภาพและการถ่ายภาพ
ของแต่ละช็อตสร้างผลกระทบอย่างมากที่สุดต่อการแสดง คูเลอชอฟได้น�ำหลักการน้ีไปใช้ในการก�ำกับ