Page 31 - ทฤษฎีและการวิจารณ์ภาพยนตร์
P. 31

ทฤษฎีภาพยนตร์แนวรูปแบบนยิ ม 1 3-21
       ไอเซนสไตนม์ คี วามเชอ่ื ในเรอื่ งของการเปลยี่ นแปลงผนั แปรไมห่ ยดุ นงิ่ ปรากฏการณท์ งั้ หลายลว้ น
กำ� ลงั อยใู่ นกระบวนการของการเปลยี่ นแปลง สงิ่ ทหี่ ยดุ นงิ่ ไมเ่ คลอื่ นทหี่ รอื รวมตวั สอดคลอ้ งกนั ในธรรมชาติ
กเ็ ปน็ ไดเ้ พยี งชวั่ คราวเทา่ นนั้ มแี ตพ่ ลงั งานอยา่ งเดยี วทย่ี นื ยงถาวรในการเปลย่ี นแปลงไปเปน็ รปู ทรงตา่ งๆ
การเปลี่ยนแปลงอันไม่จบส้ินของธรรมชาติเป็นผลมาจากความขัดแย้งของส่ิงที่อยู่ตรงข้ามกัน ซ่ึงความ
ขัดแยง้ ของสงิ่ ที่อยตู่ รงขา้ มกันนี้ คอื ต้นก�ำเนิดของการเคลอ่ื นไหวและการเปลีย่ นแปลง (mother of mo-
tion and change) เขาเห็นว่าศิลปะเป็นอินทรีย์ส่วนขยายของธรรมชาติ นั่นคือศิลปะเป็นดังจักรวาล	
ขนาดย่อม (mini-universe) หน้าท่ีของศิลปินก็คือท�ำให้คนดูรู้สึกได้ถึงการเปล่ียนแปลงอันเป็นนิรันดร์
ของจักรวาล และกระตุ้นให้สังเกตเห็นความขัดแย้งท�ำนองเดียวกันท่ีมีอยู่ท่ัวไปในชีวิตประจ�ำวัน ความ
ขัดแย้งเป็นเร่ืองปกติของศิลปะทุกแขนง และศิลปะก็ต้องการการเคล่ือนไหว ศิลปนิ ต้องหยบิ จบั เอาการ
ปะทะกันอย่างไม่หยุดหย่อนของสิ่งท่ีตรงข้ามกัน มารวมกันเข้าเป็นแนวคิดของความขัดแย้งทั้งในด้าน
เนื้อหาของศิลปะ เทคนคิ และรปู แบบ ซ่ึงส�ำหรบั ตัวเขานำ� มาเนน้ ในทางศลิ ปะของการตัดตอ่ ภาพยนตร์
       ไอเซนสไตน์มีความคิดเช่นเดียวกับพูดอฟกินที่ว่าการตัดต่อเป็นรากฐานของศิลปะภาพยนตร์
และแต่ละช็อตไม่ควรมีความสมบูรณ์ในตัวเอง แตเ่ ขากว็ จิ ารณก์ ารตดั ตอ่ แบบเชอ่ื มชอ็ ต (linked shots)
ของพูดอฟกินว่าเหมือนเคร่ืองจักรกลเกินไป ไม่เป็นธรรมชาติ การตัดต่อควรมีเหตุมีผล มีความขัดแย้ง
ของช็อต 2 ช็อตแล้วเกิดเป็นความหมายใหม่ข้ึนมา ดังเช่นการประสมอกั ษรของจนี 2 ตัว แลว้ เกิดความ
หมายใหมข่ น้ึ ซ่งึ ไอเซนสไตน์มกั ชอบยกเป็นตัวอยา่ ง ดังน้ี

            คำ� วา่ “ประต”ู 	 + 	 คำ� วา่ “ห”ู หมายถึง แอบฟงั
            คำ� วา่ “ปาก” 	 + 	 ค�ำว่า “นก” หมายถึง ร้องเพลง
            คำ� ว่า “มีด” 	 + 	 ค�ำว่า “หวั ใจ” หมายถึง เสยี ใจ
            (Giannetti, 1976, pp. 155-158)
       ไอเซนสไตน์ได้น�ำหลักคิดแบบวัตถุนิยมวิภาษของลัทธิมาร์กซ์มาใช้ น่ันคือสรรพส่ิงท้ังหลาย
ท่ีเป็นอยู่ (thesis) ย่อมไม่อยู่น่ิง แต่จะเคล่ือนไหวเปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา เพราะมีความขัดแย้งหรือ
มีส่ิงเข้ามาขัดแย้ง (anti-thesis) ท�ำให้ต้องเปล่ียนแปลงไปเป็นสภาพใหม่ (synthesis) ซ่ึงจะต้องปะทะ
กับความขัดแย้งต่อไป ส�ำหรับการตัดต่อภาพยนตร์น้ัน ไอเซนสไตน์เห็นว่า ช็อตหน่ึงหรือกลุ่มช็อตหน่ึง
ท�ำหน้าที่เป็นข้อสมมติฐานเดิมหรือ thesis แล้วมีอีกช็อตหรืออีกกลุ่มช็อตเข้ามาต่อติดท�ำหน้าที่เป็นข้อ
โต้แย้งหรือ anti-thesis ท่ีจะท�ำให้เกิดเป็นข้อสมมติฐานใหม่หรือ synthesis ข้ึนในการรับรู้ของผู้ชม	
ดังน้ันช็อตแต่ละช็อตท่ีจะน�ำมาต่อเข้าด้วยกันก็จะต้องเข้ามาในลักษณะที่ขัดแย้งปะทะกันเท่านั้นจึงจะ
เกิดความหมายใหม่ มิใช่เชื่อมต่ออย่างประสานกลมกลืนลื่นไหลไปตามกัน ลีลาของการตัดต่อก็ควรจะ
เปน็ ไปในทำ� นองเดยี วกบั การเคลอื่ นไหวเปลย่ี นแปลงของสรรพสงิ่ ตามธรรมชาตขิ องวทิ ยาศาสตรด์ ว้ ย เชน่
ในการตม้ นา้ํ โมเลกลุ ของนา้ํ (thesis) จะคอ่ ยๆ เคลอื่ นไหวเปลย่ี นแปลงเพราะถกู ความรอ้ น (anti-thesis)
จนกระทงั่ เดอื ดกลายเป็นสง่ิ ใหมค่ ือไอ (synthesis) หรอื เหมอื นกับการเตบิ โตของเซลชวี ติ ซง่ึ คอ่ ยๆ แบง่
ตวั แบบทวคี ณู จากหนงึ่ แตกเปน็ สอง แลว้ แตกเปน็ ส่ี เปน็ แปด ฯลฯ จนกลายเปน็ สงิ่ ใหมค่ อื เนอื้ เยอื่ อวยั วะ
ฯลฯ การตดั ตอ่ กเ็ ชน่ กนั ชอ็ ตเปรยี บเสมอื นเซล ซง่ึ จะแตกตวั ออกเปน็ สอง เปน็ ส่ี เปน็ แปด ทวคี ณู ไปเรอ่ื ยๆ
จนสน้ิ สดุ ลงเม่ือเกิดความหมายใหม่ (มูลนธิ หิ นงั ไทย, 2530, น. 55-56)
   26   27   28   29   30   31   32   33   34   35   36