Page 28 - องค์การและการจัดการและการจัดการทรัพยากรมนุษย์
P. 28

2-26 องค์การและการจัดการ และการจัดการทรัพยากรมนุษย์

เรอ่ื ง​ที่ 2.2.1
แนวคิด​การจ​ ดั การเ​ชิงม​ นษุ ยสมั พันธ์

       	
       ดัง​ได้​กล่าวใ​นต​ อนท​ ี่ 2.1 เกี่ยวก​ ับ​แนวคิดก​ าร​จัดการ​ยุคคลาส​สิก​ ว่าน​ ักท​ ฤษฎี​ของ​ยุคน​ ั้นเ​น้น​การศ​ ึกษาส​ ่วน​
ใหญ่​อยู่​ใน​ด้าน​เกี่ยว​กับ​โครงสร้าง​ของ​องค์การ และ​ใน​ด้าน​เกี่ยว​กับ​การ​ออกแบบ​งาน เพื่อ​ให้​เกิด​ประสิทธิภาพ​สูงสุด​
เท่า​ที่​จะ​เป็น​ไป​ได้ คน​งาน​ได้​รับ​การ​ตี​ค่า​ใน​ลักษณะ​ที่​ไม่​แตก​ต่าง​ไป​จาก​เครื่องจักร ซึ่ง​ผู้​บริหาร​สามารถ​ที่​จะ​คาด​หวัง​
ให้​ปฏิบัติ​งาน​ใดๆ ได้​ตาม​คำ​สั่ง​ตราบ​เท่า​ที่​มี​การ​ให้​สิ่ง​จูงใจ​ด้าน​การ​เงิน​อย่าง​เหมาะ​สม ด้วย​คติ​ฐาน​นี้​ทำให้​นัก​ทฤษฎี​
ยุค​คลาส​สิก​เพิก​เฉย​หรือ​ให้​ความ​สำคัญ​น้อย​มาก​กับ​ตัวแปร​ต่างๆ ที่​เกี่ยว​กับ​พฤติกรรม​ของ​มนุษย์​และ​หัน​ไป​สนใจ​
ในป​ ัญหาท​ ี่​เกี่ยวก​ ับโ​ครงสร้างข​ องอ​ งค์การเ​ป็นส​ ่วนใ​หญ่ ดัง​นั้น​ใน​ยุค​ต่อม​ า​จึงไ​ด้​มี​นัก​ทฤษฎี​ซึ่ง​หัน​มา​สนใจ​และ​ศึกษา​
เกี่ยว​กับ​ปัญหา​อีก​ด้าน​หนึ่ง​ของ​ทฤษฎี​องค์การ นั่น​ก็​คือ ปัญหา​เกี่ยว​กับ​การ​ทำให้​คน​งาน​ยินยอม​ปฏิบัติ​ตาม​ภารกิจ​
หรือ​งาน​ที่​ได้​รับ​มอบ​ให้​สำเร็จ ใน​ยุค​นี้​จึง​ได้​มี​การ​เน้น​การ​ศึกษา​ใน​ปัญหา​ด้าน​การ​จูงใจ การ​ควบคุม​และ​การ​ทำให้​
พนักงาน​ยินยอม​ปฏิบัติ​ตาม​คำ​สั่ง และ​ให้​ความ​สนใจ​กับ​ปัญหา​โครงสร้าง​ของ​องค์การ​เป็น​ปัญหา​ที่​สำคัญ​รอง​ลง​มา
การ​ที่​นัก​ทฤษฎี​องค์การ​หัน​มา​สนใจ​ใน​ประเด็น​เกี่ยว​กับ​พฤติกรรม​ของ​มนุษย์​มาก​ขึ้น​นั้น​เป็น​ผล​สืบ​เนื่อง​มา​จาก​การ​
ทดลอง​ของมา​โย​ที่ฮ​อร์ธ​อร์น (Hawthorne) ซึ่ง​ทำให้​เกิด​แนว​คิด​การ​จัดการ​เชิง​มนุษยสัมพันธ์​ขึ้น​มา​ซึ่ง​จะ​ได้​นำ​มา​
กล่าว​ในร​ าย​ละเอียดไ​ว้ใ​น​เรื่องน​ ี้
       หลังจ​ ากท​ ีเ่​กิดก​ ารค​ ้นพ​ บข​ องม​ าโ​ยท​ ีฮ่​ อ​ ร์ธอ​ ร์นป​ ระกอบก​ ับส​ ภาวการณต​์ ่างๆ ไดเ้​ปลี่ยนแปลงไ​ป เช่น กิจกรรม​
ต่างๆ ต้อง​หันม​ า​เน้น​การผ​ ลิตส​ ินค้าห​ ลาย​ชนิดใ​น​เวลาเ​ดียวกันแ​ ละ​เน้น​ด้าน​การ​วิจัย​พัฒนา​มาก​ขึ้น ทำให้​ลักษณะ​งาน​
ของ​คน​งาน​สมัย​ถัด​จากยุค​คลาส​สิก​เปลี่ยน​ไป​เป็น​ศึกษา​เกี่ยว​กับ​ตัวแปร​พฤติกรรม​มนุษย์​มาก​ขึ้น เป็น​ผล​ทำให้​เกิด​
การ​พัฒนา​เป็นแ​ นว​คิดการ​จัดการ​เชิงพ​ ฤติกรรม​ศาสตร์​เกิดข​ ึ้น​ถัด​ต่อ​มาจ​ ากแ​ นว​คิด​เชิงม​ นุษยสัมพันธ์ ซึ่ง​แนวคิดเ​ชิง​
พฤติกรรม​ศาสตร์​นี้จ​ ะไ​ด้​นำ​มา​กล่าวไ​ว้​ใน​เรื่องท​ ี่ 2.2.4

	 แนว​คิดเ​ชิงม​ นุษยสัมพันธ์            	→ แนว​คิด​เชิง​พฤติกรรมศ​ าสตร์

ความเ​ป็นม​ า

       แนวคิดเ​ชิงม​ นุษยสัมพันธ์น​ ั้นเ​กิดข​ ึ้นใ​นร​ ะหว่างท​ ศวรรษ 1920 และท​ ศวรรษ 1930 ในป​ ระเทศส​ หรัฐอเมริกา
ใน​ช่วงร​ ะยะเ​วลา​ดัง​กล่าวม​ ี​การ​เปลี่ยนแปลงต​ ่างๆ เกิด​ขึ้น​มากมาย เช่น มี​การ​อพยพ​ของ​คน​จำนวน​มากจ​ ากช​ นบทเ​ข้า​
สู่​ตัวเ​มือง ทำให้เ​กิด​ความจ​ ำเป็นใ​นก​ าร​ที่ค​ น​จะต​ ้อง​พึ่งพาอ​ าศัยก​ ัน​และ​กันม​ าก​ขึ้น นอกจากน​ ี้​ยัง​มี​การเ​ปลี่ยนแปลงใ​น​
ปัจจัยด​ ้านเ​ทคโนโลยี กล่าวค​ ือ ได้ม​ ีก​ ารนำเ​ครื่องจักรก​ ลม​ าใ​ช้ใ​นโ​รงงานแ​ ทนแ​ รงงานค​ นม​ ากข​ ึ้น มีก​ ารเ​น้นก​ ารก​ ำหนด​
มาตรฐานข​ องง​ านแ​ ละก​ ารแ​ บง่ ง​ านก​ นั ท​ ำท​ ัง้ ใ​นร​ ะดับค​ นง​ านแ​ ละใ​นร​ ะดับบ​ รหิ าร การเ​ปลี่ยนแปลงเ​หลา่ น​ ีท้​ ำใหเ้​กิดค​ วาม​
จำเป็นท​ ี่​จะต​ ้องม​ ีก​ าร​ประสาน​งานก​ ันอ​ ย่าง​ใกล้ช​ ิด และ​เกิด​ความจ​ ำเป็นท​ ี่ค​ น​จะต​ ้อง​พึ่งพา​อาศัย​กัน​และ​กัน​โดย​ไม่​อาจ​
หลีก​เลี่ยง​ได้

       สภาวะแ​ วดลอ้ มต​ า่ งๆ ทเ​่ี กดิ ข​ น้ึ ​นท​้ี ำใหน​้ กั ว​ ชิ าการแ​ ละน​ กั ​ทฤษฎข​ี องย​ คุ ​นเ​้ี กดิ ค​ วามค​ ดิ ​เหน็ ข​ ดั ​แยง้ ก​ บั ​หลกั ​การข​ อง​
นัก​ทฤษฎีย​ ุคค​ ลาสส​ ิก​ ซึ่งเ​น้น​ในป​ รัชญาเ​กี่ยวก​ ับ​การ​ทำงาน​หนัก ปัจเจก​ชนน​ ิยม (individualism) และก​ าร​แสวงหา​

                             ลขิ สทิ ธ์ิของมหาวิทยาลัยสุโขทยั ธรรมาธิราช
   23   24   25   26   27   28   29   30   31   32   33