Page 33 - องค์การและการจัดการและการจัดการทรัพยากรมนุษย์
P. 33

ทฤษฎีอ​ งค์การแ​ ละ​การจ​ ัดการ 2-31

       3. ใน​องค์​การ​ใดๆ นั้น​ก็​เหมือน​กับ​ระบบ​สังคม จะ​มี​การ​แยก​ผู้นำ​หรือ​ผู้​ตาม​จาก​กัน โดย​อาศัย​พื้น​ฐาน​ของ​
กระบวนการ​ประเมิน​ค่า​ทาง​สังคม​ของม​ วลส​ มาชิก​ใน​องค์การ

       4. พฤติกรรมข​ องม​ นุษย์น​ ั้นจ​ ะไ​ม่ถ​ ูกจ​ ูงใจโ​ดยส​ ิ่งจ​ ูงใจท​ ี่เ​ป็นต​ ัวเ​งินเ​ท่านั้น แต่พ​ ฤติกรรมข​ องม​ นุษย์แ​ ต่ละค​ น​
จะ​ขึ้น​อยู่​กับค​ ่าน​ ิยม ความเ​ชื่อถ​ ือ และ​อารมณ์ค​ วาม​รู้สึก​ที่อ​ ยู่​ใน​ตัวเ​องแ​ ต่ละค​ น​ด้วย

       5. ระดับข​ องผ​ ลผลิตไ​ม่ไ​ด้ถ​ ูกก​ ำหนดโ​ดยฝ​ ่ายบ​ ริหารเ​ท่านั้น แต่ก​ ลุ่มม​ ีส​ ่วนอ​ ย่างม​ ากใ​นก​ ารก​ ำห​ นดปทัสถ​ าน​
ทางส​ ังคม​เพื่อใ​ห้​สมาชิก​ของก​ ลุ่ม​ปฏิบัติต​ าม

       6. ใน​องค์​การ​ใดๆ นั้น จะ​มี​ทั้ง​องค์การ​ที่​เป็น​ทางการ  ซึ่ง​มี​การ​กำหนด​นโยบาย​ระเบียบ​ปฏิบัติ​เพื่อ​กำหนด​
ความ​สัมพันธ์​ระหว่าง​คน​และ​งาน และ​มี​องค์การ​ที่​ไม่​เป็น​ทางการ (องค์การ​อรูป​นัย)   ซึ่ง​บุคคล​มี​ความ​สัมพันธ์​ส่วน​
บุคคล​ซึ่ง​กัน​และ​กัน องค์การ​ที่​ไม่​เป็น​ทางการ​นี้​จะ​เป็น​ตัว​กำหนดค่า​นิยม ความ​เชื่อ​ถือ และ​ปทัส​ถาน​ทาง​สังคม​ซึ่ง​มี​
ผลก​ระท​ บอ​ ย่างม​ าก​ต่อพ​ ฤติกรรม​ของ​คนใน​องค์การ

       โดย​สรุป​พอ​จะ​กล่าว​ได้​ว่า​ผล​สรุป​ของ​การ​วิจัย​ที่​ฮ​อร์ธ​อร์น​ได้​สร้าง​คติ​ฐาน​เกี่ยว​กับ​ธรรมชาติ​ขอ​งมุนษย์​
ขึน้ ม​ าใ​หม่ คอื มนษุ ยน​์ ัน้ ไ​มส​่ ามารถท​ จี​่ ะใ​ชส​้ ิง่ จ​ งู ใจด​ ว้ ยต​ วั เ​งนิ อ​ ยา่ งเ​ดยี วเ​พือ่ ใ​หเ​้ กดิ ก​ ารย​ อมรบั ป​ ฏบิ ตั ต​ิ ามว​ ตั ถปุ ระสงค​์
ของอ​ งค์การ แต่ย​ ังม​ ีอ​ งค์ป​ ระ​กอบ​ อื่นๆ อีกซ​ ึ่งม​ ีผ​ ลกร​ ะท​ บต​ ่อ​พฤติกรรม​ของม​ นุษย์ เช่น สภาวะข​ อง​สังคม​ใน​องค์การ​
รูป​แบบ​สภาวะ​ของ​ผู้นำ​และ​ความ​สนใจ​ที่​ได้​รับ​จาก​หัวหน้า​และ​เพื่อน​ร่วม​งาน​ที่​นับ​ว่า​มี​ความ​สำคัญ​ไม่​ด้อย​ไป​กว่า
ส​ ิ่ง​จูงใจ​ด้วย​ตัว​เงิน กล่าวอ​ ีก​นัยห​ นึ่งไ​ด้​ว่า มนุษย์​นั้นไ​ม่ใช่​เป็น​มนุษย์​เศรษฐศาสตร์ (economic man)  เหมือนเ​ช่นท​ ี่​
นัก​ทฤษฎีค​ ลาสส​ ิ​กต​ ั้ง​คติฐ​ าน​ไว้ แต่ม​ นุษย์​มี​ธรรมชาติเ​ป็นมนุษย์ส​ ังคม (social man) มากกว่า จาก​คติฐ​ าน​แนว​ใหม​่
เกี่ยว​กับ​มนุษย์​นี้​ทำให้​มี​การ​ตื่น​ตัว​ทำการ​ศึกษา​วิจัย​ใน​หมู่​นัก​วิชาการ​จำนวน​มาก​เพื่อ​ทราบ​เกี่ยว​กับ​ธรรมชาติ​ของ​
พฤติกรรม​มนุษย์ จน​เกิด​เป็น​แนว​คิด​ทางการ​จัดการ​เชิง​พฤติกรรม​ศาสตร์​ขึ้น ซึ่ง​ผล​งาน​ของ​ผู้​เขียน​หลาย​ท่าน เช่น
ดักลาส แมกเ​กรเ​กอร์ (Douglas McGregor) และ​คร​ ิส อาร์กีร​ ิส (Chris Argyris)  จะไ​ด้​นำ​กล่าวต​ ่อไ​ป

ข้อว​ ิจารณ์​ต่อ​แนว​คิด​เชิงม​ นษุ ยสัมพนั ธ์

       อย่างไร​ก็​ดี​มี​ข้อ​วิจารณ์​ต่อ​แนว​คิด​เชิง​มนุษยสัมพันธ์ จาก​นัก​คิด​และ​นัก​บริหาร​เกิด​ขึ้น​มากมาย ซึ่ง​ขอ​สรุป​
รวมไ​ว้เ​ป็น​ข้อๆ ดังนี้

       1. 	ความพ​ ยายามท​ ี่จ​ ะ​เพิ่มผลิต​ภาพใ​นช​ ่วง​ปี ค.ศ. 1850s  โดย​การ​ปรับปรุงส​ ภาวะแ​ วดล้อมข​ องก​ ารท​ ำงาน​
และ​ความ​พอใจ​ของพ​ นักงาน​ไม่ไ​ด้ม​ ี​ผลน​ ำ​ไปส​ ู่​การเ​พิ่ม​ผลิตภ​ าพต​ ามท​ ี่​คาดห​ วัง​ไว้อ​ ย่าง​เห็นช​ ัด

       2. 	แนวค​ วามค​ ิดใ​นก​ ารม​ องค​ นเ​ป็นม​ นุษย์ส​ ังคม  เป็นส​ ิ่งส​ ำคัญท​ ี่น​ ำม​ าแ​ ทนแ​ นวคิดเ​ดิมท​ ี่ม​ องเ​พียงด​ ้านเ​ดียว​
ว่าเ​ป็นม​ นุษย์เ​ศรษฐกิจ (rational economic man)  แต่ค​ วามค​ ิดน​ ี้ก​ ็ล​ ้มเ​หลวท​ ี่จ​ ะก​ ล่าวถ​ ึงค​ วามเ​ป็นม​ นุษย์ท​ ี่ส​ มบูรณ​์
ในส​ ภาวะ​แวดล้อมข​ อง​การท​ ำงาน

       3. 	เป็น​ที่​ปรากฏ​ชัด​เจน​พบ​ว่า​สภาวะ​แวดล้อม​ทาง​สังคม​ใน​สถาน​ที่​ทำงาน   มิใช่​เป็น​ปัจจัย​สำคัญ​เพียง​สิ่ง​
เดียวท​ ี่​มี​อิทธิพลต​ ่อผ​ ลิตภ​ าพ แต่ย​ ัง​มีป​ ัจจัยอ​ ื่นๆ ที่​มี​ความ​สำคัญ​ไม่ย​ ิ่ง​หย่อน คือ เงินเ​ดือน ระดับ​ความส​ นใจ​ต่อง​ าน
โครงสร้าง​ของอ​ งค์การ และว​ ัฒนธรรม และ​รวมถ​ ึง​ความส​ ัมพันธ์​ระหว่าง​คน​งาน​กับฝ​ ่าย​บริหาร

       4. 	ผลก​ ารว​ ิจัยจ​ ำนวนไ​มน่​ ้อย เช่น ของ P. Mirvis และ E.E. Lawler32 ในป​ ี 1977 พบว​ ่า มคี​ วามส​ ัมพันธก​์ ัน​
น้อยม​ ากร​ ะหว่างค​ วามพ​ อใจใ​นง​ าน (job satisfaction) กับผ​ ลง​ านป​ ฏิบัติง​ าน (job performance) และค​ วามส​ ัมพันธ​์
ระหว่าง​พนักงาน​ที่​ไม่พ​ อใจ (dissatisfied workers) กับ​อัตราก​ าร​ลาอ​ อก (job turnover)  ก็​มี​ความ​สัมพันธ์ก​ ันน​ ้อย​
มาก เช่น​กัน

                              ลิขสิทธ์ขิ องมหาวิทยาลยั สโุ ขทยั ธรรมาธิราช
   28   29   30   31   32   33   34   35   36   37   38