Page 27 - การส่งเสริมสุขภาพและการป้องกันโรค
P. 27
แนวคิด หลักการและกลวิธิีของการป้องกันโรค 2-25
ในทฤษฎีแรงจูงใจเพื่อการป้องกันโรคเชื่อว่า แรงจูงใจเพื่อการป้องกันโรคจะวัดได้โดยใช้ความตั้งใจที่จะปฏิบัติ
(Intension Behavior) จากการที่ทฤษฎีแรงจูงใจเพื่อการป้องกันโรคนั้นพัฒนามาจากทฤษฎีและงานวิจัยด้าน
การติดต่อสื่อสารที่กระตุ้นให้เกิดความกลัว ซึ่งทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทัศนคติ และวิธีวัดพฤติกรรมนั้น ใช้
การเปลี่ยนแปลงทัศนคติเป็นตัววัด แต่ในแนวคิดทฤษฎีนี้ใช้ความตั้งใจทางพฤติกรรมเป็นตัววัด มีข้อสังเกตว่า
ความตั้งใจนั้น อาจขึ้นกับเงื่อนไขของกิจกรรมครั้งเดียว การทำซ้ำ หรือหลายๆ ครั้ง ทฤษฎีแรงจูงใจในการป้องกัน
โรคเชื่อว่า แรงจูงใจเพื่อการป้องกันโรคจะสูงสุดเมื่อ 1) บุคคลเห็นว่า ความน่ากลัวที่เกิดขึ้นกับสุขภาพนั้นรุนแรง
2) บุคคลรู้สึกถึงอันตรายนั้น 3) การตอบสนองที่เหมาะสมนั้น เป็นวิธีที่เหมาะสมในการเปลี่ยนแปลงความน่ากลัว
นั้นให้ดีขึ้นได้ 4) บุคคลมีความเชื่อมั่นว่า เขามีความสามารถพอที่จะตอบสนองให้เหมาะสมได้ 5) ผลดีที่ได้จาก
การการทำพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมนั้นมีเล็กน้อยมาก และ 5) ราคาค่าใช้จ่ายเพื่อการตอบสนองที่เหมาะสมนั้น
มีเพียงเล็กน ้อย
ปัจจัยเหล่านี้จะทำให้เกิดแรงจูงใจเพื่อการป้องกันโรคและจะได้ผลตามคือ ทำให้เกิดการตอบสนอง
ที่เหมาะสมหรือการตอบสนองที่ทนต่อสถานการณ์ ในทฤษฎีแรงจูงใจเพื่อการป้องกันโรคนี้ ได้ทำให้เกิดสมมุติฐาน
เพิ่มขึ้นภายในกระบวนการประเมินคือ เมื่อรวมองค์ประกอบที่เกิดขึ้นระหว่างการประเมินความน่ากลัวและการทน
รับสถานการณ์จะเกิดปฏิสัมพันธ์ต่อกันขึ้น ซึ่งสมมุติฐานนี้คาดเดาว่า ถ้าประสิทธิผลของการตอบสนองและ/หรือ
ประสิทธิผลของต นเองสูงแ ล้ว การเพิ่มความรุนแรง และ/หรืออันตรายจ ะมีผ ลทางบ วกท ี่สำคัญต่อความต ั้งใจ ในอีก
ด้านหนึ่ง ถ้าป ระสิทธิผลการตอบสนองแ ละ/หรือป ระสิทธิผลของต นเองน ั้นต่ำ การเพิ่มค วามรุนแรงแ ละ/หรือ ความ
เป็นอันตรายจะไม่มีทั้งผล หรือผลจากการสะท้อนกลับ (Boomerang Effect) (ผลจากการสะท้อนกลับ เช่น คน
สูบบุหรี่อยู่ แล้วตั้งใจจะเพิ่มการสูบบุหรี่ หรือคนดื่มเหล้าอยู่แล้วตั้งใจจะเพิ่มการดื่มเหล้า เป็นต้น) แต่จะลดความ
ตั้งใจที่จะยินยอมทำตามการแนะนำทางสุขภาพ ดังนั้น ทฤษฎีนี้จะคาดเดาผลลัพธ์ที่ทำลายกระบวนการตัดสินใจ
โดยใช้เหตุผล (Rational Decision Making Process) อย่างสมบูรณ์ มีเงื่อนไขอยู่ 2 เงื่อนไขที่บุคคลจะรู้สึกว่า
ไม่สามารถจะปกป้องตนเองเมื่อ 1) การตอบสนองการทนรับสถานการณ์ที่มีอยู่นั้นไม่มีผล (ประสิทธิผลการตอบ
สนองต ่ำ) และ 2) ถ้าบ ุคคลเชื่อว่าเขาไม่สามารถส ร้างการต อบสนอง การท นร ับสถานการณ์ท ี่เหมาะสมได้ มีง านว ิจัย
ที่ยืนยันปฏิสัมพันธ์ที่คาดเดาได้ระหว่างอันตรายและประสิทธิผลของการตอบสนอง ถ้าการตอบสนองและการทน
ต่อสถานการณ์ที่แนะนำให้นั้นมีผลต่อการตอบสนองทางการป้องกันสูง จะทำให้เพิ่มความเชื่อในอันตราย ซึ่งทำให้
เพิ่มความตั้งใจที่จะปฏิบัติตาม แต่ถ้าเชื่อว่า การตอบสนองนั้น ไม่มีประสิทธิผลจะเพิ่มความรู้สึกว่า การมีอันตราย
น ั้นลดลง ทำให้ลดความตั้งใจท ี่จะย อมรับการตอบสนอง ทำให้เกิดผลจ ากการส ะท้อนกลับ
กิจกรรม 2.1.4
ทฤษฎใี ดทเ่ี ฮนเล สโนว์ ปาสเตอร์ และค็อกซต์ า่ งมที รรศนะท ีเ่ ห็นต รงก นั
แนวต อบก จิ กรรม 2.1.4
เฮนเล สโนว์ ปาสเตอร์ และค อ็ กซต์ า่ งม ที รรศนะท เ่ี หน็ ต รงก นั ในท ฤษฎเี ชอ้ื โรค (Germ Theory) ซงึ่ เปน็
ทฤษฎีเกี่ยวกับสาเหตุจำเพาะของโรคที่เป็นผลมาจากส่ิงก่อโรคที่ได้รับการค้นหาโดยการแยกเช้ือและการเพาะ
เชอื้ จ ลุ นิ ทรยี จ์ ากต ำแหนง่ ท เี่ กดิ โรค (Sites) การท ดลองก ารแ พรเ่ ชอื้ ข องจ ลุ นิ ทรยี เ์ หลา่ น ้ี และก ารเตบิ โตข องเซลล์
บรเิ วณเนอ้ื เยอ่ื ท ี่ผิดป กติของร ่างกาย (Lesion)
ลขิ สทิ ธ์ขิ องมหาวิทยาลยั สุโขทยั ธรรมาธริ าช