Page 239 - พฤติกรรมมนุษย์และจริยธรรมทางเศรษฐกิจและธุรกิจ
P. 239

เศรษฐศาสตร์​แนว​พุทธ​กับจ​ ริยธรรม​ใน​ทาง​เศรษฐกิจแ​ ละ​ธุรกิจ 15-9

ค่าน​ ิยม​หรือ​คุณค่าท​ าง​จิตใจใ​น​แง่​ของ​ความ​ดี ความช​ ั่ว ที่​เรียกว​ ่า​จริยธรรมแ​ ล้ว เศรษฐศาสตร์​ยังม​ ี​ความ​สัมพันธ์ก​ ับ​
ธรรมใ​ น​แง่​ของ​สัจธรรม​ด้วย

       ธรรมใ​นแ​ งข​่ องส​ ัจธรรมน​ กี้​ ค​็ ือ ธรรมดาข​ องธ​ รรมชาติ คอื ทุกส​ ิ่งอ​ นั ร​ วมถ​ งึ ความเ​ป็นจ​ ริงต​ ามธ​ รรมชาติ กฎข​ อง​
ธรรมชาติ หน้าทขี่​ องม​ นุษยท์​ ีจ่​ ะต​ ้องก​ ระทำใ​หถ้​ ูกต​ ้องส​ อดคล้องก​ ับก​ ฎข​ องธ​ รรมชาติ รวมถ​ ึงผ​ ลท​ ีจ่​ ะเ​กิดต​ ามม​ าจ​ ากก​ าร
ก​ระท​ ำน​ ั้น (พุทธ​ทาส​ภิกขุ 2537) ธรรม​จึง​ต้อง​มี​อยู่​ใน​กิจกรรม​ทุก​อย่างข​ องม​ นุษย์​รวม​ทั้ง​กิจกรรมท​ าง​เศรษฐกิจ ธรรม​
ในแ​ ง่ส​ ภาว​ธรรม​หรือส​ ัจธรรมน​ ี้มี​ความ​สำคัญ เ​นื่องจากว่าเ​ป็น​แก่น เป็น​เนื้อหา​ของ​เศรษฐศาสตร์​เอง ธรรมใ​น​ที่​นี้ก​ ็​คือ
ความจ​ ริง ในแ​ ง่​ของก​ ระบวนการแ​ ห่งเ​หตุป​ ัจจัยต​ ามธ​ รรมชาติ ถ้า​หากว่าเ​ศรษฐศาสตร์ร​ ู้ เข้าใจ และป​ ฏิบัติก​ ารไ​ม่​ทั่ว​ถึง
ไมต​่ ลอดส​ ายก​ ระบวนการข​ องเ​หตป​ุ จั จยั แ​ ลว้ วชิ าเ​ศรษฐศาสตร​์ กจ​็ ะไ​มส​่ ามารถแ​ กป​้ ญั หาแ​ ละบ​ รรลว​ุ ตั ถปุ ระสงคข​์ องก​ าร​
เป็นเ​ครื่อง​มือท​ ี่​จะช​ ่วย​สนับสนุน​การ​มีช​ ีวิต​ที่ด​ ีง​ าม เพื่อ​พัฒนา​คน พัฒนา​สังคม รวมถ​ ึง​รักษาค​ ุณภาพข​ อง​สิ่ง​แวดล้อม​
ไป​พร้อมๆ กันได้ เรียก​ว่า​เป็น เศรษฐกิจ​ที่​ไม่​ถูก​ธรรม​ใน​แง่​ของ​สัจธรรม ใน​ทาง​กลับ​กัน​ถ้า​หากว่า​เศรษฐศาสตร์​รู้
เข้าใจ และ​ปฏิบัติ​การ​ทั่ว​ถึง​ตลอด​สาย​กระบวนการ​ของ​เหตุ​ปัจจัย​แล้ว วิชา​เศรษฐศาสตร์ก​ ็​จะ​สามารถ​แก้​ปัญหา​และ​
บรรลวุ​ ัตถุประสงค์ข​ องก​ ารเ​ป็นเ​ครื่องม​ ือท​ ีจ่​ ะช​ ่วยส​ นับสนุนก​ ารม​ ชี​ ีวิตท​ ีด่​ งี​ าม เพื่อพ​ ัฒนาค​ น พัฒนาส​ ังคม รวมถ​ ึงร​ ักษา​
คุณภาพ​ของส​ ิ่ง​แวดล้อมไ​ป​พร้อมๆ กัน เรียก​ว่าเ​ป็น เศรษฐศาสตร์ท​ ี่​ถูกธ​ รรมใ​น​แง่​ของ​สัจธรรม

       ในก​ ารอ​ ธิบาย​สภาวะข​ องส​ รรพส​ ิ่งใ​นร​ ูปข​ องธ​ รรม​ หลักธ​ รรม​ของพ​ ุทธศ​ าสนา​ได้พ​ ยายามท​ ำให้ม​ นุษย์เ​ข้าใจ​ถึง​
ธรรมชาติแ​ ละ​กฎ​ของ​ธรรมชาติ​อันเ​ป็นต​ ัวก​ ำหนดการด​ ำเนิน​ไปข​ องท​ ุกๆ สิ่ง โดย​พิจารณาบ​ น​หลักข​ อง​ อิ​ทัป​ปัจจัยต​ า7
หรือป​ ฏิจ​ จส​ มุป​ บาท8 เพื่อท​ ี่จ​ ะใ​ห้เ​ข้าใจถ​ ึงห​ ลักก​ ารอ​ ิงอ​ าศัยซ​ ึ่งก​ ันแ​ ละก​ ันข​ องส​ ิ่งต​ ่างๆ และช​ ี้ใ​ห้เ​ห็นถ​ ึงก​ ารเ​ปลี่ยนแปลง​
ของส​ รรพส​ ิ่งท​ ีไ่​มส่​ ามารถด​ ำรงต​ นอ​ ยไู​่ ดอ้​ ย่างถ​ าวรบ​ นก​ ฎไ​ตรลักษณ์ ตลอดจ​ นใ​หค​้ วามส​ ำคัญก​ ับก​ ารท​ ำความเ​ขา้ ใจแ​ ละ​
ศึกษาค​ วามเ​ป็นไ​ปภ​ ายในต​ ัวม​ นุษย์ท​ ี่เ​ป็นต​ ัวก​ ระตุ้นใ​ห้เ​กิดท​ ุกข์ และห​ นทางแ​ ก้ไขด​ ้วยก​ ารค​ ้นหาเ​หตุป​ ัจจัย แสวงหาว​ ิธี
(มรรค) บนฐ​ าน​การพ​ ัฒนา​มนุษย์ด​ ัวย ศีล สมาธิ และ​ปัญญา เพื่อ​เข้า​สู่​หนทางแ​ ห่ง​การด​ ับท​ ุกข์ (นิพพาน)

       พุทธ​ศาสนา​พิจารณา​ความ​สัมพันธ์​ระหว่าง​สรรพ​สิ่ง​ต่างๆ บน​หลัก​ของ​การ​อิง​อาศัย​ซึ่ง​กัน​และ​กัน​ของ​สรรพ​
สิ่ง​บนห​ ลัก​ของ​ปัจจัย​การ (causal occurrence) ที่เ​รียกก​ ันว​ ่า อิ​ทัปป​ ัจย​ า​ตา (mode of dependency) ที่พ​ ิจารณา​ว่า​
ปัญหาห​ รือป​ ราก​ฏก​ าร​ ณ์​หนึ่งๆ เกิด​ขึ้นจ​ าก​เหตุป​ ัจจัยท​ ี่มา​ประกอบก​ ันเ​ป็น​เหตุ​ที่​จะส​ ร้างผ​ ล​หรือ​ปรากฏ​ ก​ า​รณ์น​ ั้นๆ ใน​
ขณะเ​ดียวกันผ​ ลท​ ี่เ​กิดข​ ึ้นก​ ็จ​ ะม​ ีป​ ฏิสัมพันธ์เ​ป็นเ​หตุร​ ่วมส​ ร้างผ​ ลกร​ ะท​ บอ​ ันอ​ ื่นต​ ่อไ​ปอ​ ีก ดังน​ ั้น เราจ​ ึงไ​ม่ส​ ามารถท​ ำการ​
พิจารณา​แบบล​ ด​ทอน​เพราะ​ไม่มีเ​หตุ​ปัจจัย​อิสระต​ ัวใ​ด​ตัว​หนึ่งท​ ี่ส​ ร้าง​ผลต​ ัว​ใด​ตัวห​ นึ่ง​โดยเ​ฉพาะอ​ ย่าง​ตายตัว หากแ​ ต​่
ต้อง​อาศัย​หลาย​ปัจจัยร​ ่วม​กัน และห​ าก​ขาดป​ ัจจัยร​ ่วมต​ ัวใ​ด​ตัวห​ นึ่ง​ไป​ ศักยภาพ​ใน​การส​ ร้างผ​ ล​หรือ​ปราก​ฏก​ ารณ์​นั้น​
ก็​จะ​ไม่​เกิดข​ ึ้น ทัศนะ​เช่นน​ ี้​ก่อใ​ห้​เกิด​โลก​ทัศน์แ​ บบอ​ งค์​รวม (holism)

       โลก​ทัศน์​แบบ​องค์​รวม​นี้ สิ่ง​ทั้ง​หลาย​ทั้ง​ปวง​เป็น​ธรรมชาติ​ที่​มี​อยู่​ใน​ระบบ​ความ​สัมพันธ์​แห่ง​เหตุ​ปัจจัย​และ​
มนุษย์ก​ ็เ​ป็นส​ ่วน​หนึ่ง​ในร​ ะบบ​ความส​ ัมพันธ์​แห่งเ​หตุป​ ัจจัยข​ อง​ธรรมชาติ มนุษย์​จึงม​ ิใช่​ศูนย์กลาง​ของท​ ุก​สิ่ง และ​มิใช่​
เพียง​ชีวิต​เดียวท​ ี่ม​ ีอ​ ยู่​ในโ​ลก หากเ​ป็น​เพียงส​ ่วน​หนึ่ง​ในส​ าย​สัมพันธ์​อัน​สลับซ​ ับซ​ ้อน​ธรรมชาติ เป็น​เพียง​สัตว์​ร่วมโ​ลก​
กับ​สรรพ​สัตว์​และ​สรรพ​ชีวิตท​ ั้ง​มวล พุทธธ​ รรม​จึง​ชี้​ให้​เห็น​ถึงส​ ภาพ​ที่ม​ นุษย์​จะต​ ้องอ​ ยู่​อย่าง​กลมกลืนก​ ับ​ธรรมชาติ​ให้​

         7 สิ่ง​ทั้งห​ ลายอ​ าศัย​กันจ​ ึง​เกิด​ขึ้น​พรั่งพ​ ร้อม คือ เมื่อ​มี​สิ่ง​นี้​ สิ่งน​ ี้​จึงม​ ี เพราะส​ ิ่ง​นี้​เกิด​ขึ้น สิ่ง​นี้​จึง​เกิด​ขึ้น เมื่อ​สิ่งน​ ี้​ไม่มี สิ่ง​นี้​จึงไ​ม่มี เพราะ​
สิ่ง​นี้​ดับ สิ่ง​นี้จ​ ึง​ดับ (พระธ​ รรม​ปิฎก 2538) 	

         8 ปฏิ​จจ​สมุ​ปบา​ทมา​จาก​ราก​ศัพท์ “ปฏิ​จะ” แปล​ว่า อาศัย และ “สมุ​ปบาท” แปล​ว่า เกิด​ขึ้น​ครบ​ถ้วน ปฏิ​จจ​สมุ​ปบาท​เป็น​หลัก​ธรรม​
ที่​แสดง​ความ​เป็น​จริง​เป็น​กลางๆ ตาม​เหตุ​ปัจจัย นั่น​คือ สิ่ง​ทั้ง​หลาย​นั้น​อิง​อาศัย​ซึ่ง​กัน​และ​กัน​เป็น​ไป​ตาม​เหตุ​ปัจจัย เหตุ​ปัจจัย​ทำให้​ผล​เกิด​ขึ้น
ผล​จะ​เป็น​อย่างไร​ก็​เป็น​ไป​ตาม​เหตุ​ปัจจัย​นั้น สิ่ง​ทั้ง​หลาย​มี​ความ​สัมพันธ์​ซึ่ง​กัน​และ​กัน มิใช่​ดำรง​อยู่​โดย​ลำพัง​ตัว​มัน​เอง สำหรับ​ความ​สำคัญ​ของ​
ปฏิ​จจ​สมุ​ปบา​ทนั้น​จะ​เห็น​ได้​จาก​พุทธ​พจน์​ใน​พระ​ไตร​ปิฎก​ที่​ว่า “ผู้​ใด​เห็น​ปฏิ​จจ​สมุ​ปบาท ผู้​นั้น​ย่อม​เห็น​ธรรม ผู้​ใด​เห็น​ธรรม ผู้​นั้น​ย่อม​เห็น
​ปฏิจ​ จ​สมุ​ปบาท”	

                              ลขิ สทิ ธิ์ของมหาวทิ ยาลัยสโุ ขทยั ธรรมาธริ าช
   234   235   236   237   238   239   240   241   242   243   244