Page 203 - สังคมโลก
P. 203
องค์การร ะหว่างประเทศ 8-9
มีการต ่อร องผลป ระโยชน์ระหว่างกลุ่มต ่างๆ จนเห็นพ้องต้องกันซึ่งต ้องใช้เวลามาก ดังน ั้น เพื่อแก้ไขกระบวนการแ ละ
ลดข ัน้ ต อนก ารต อ่ ร องร ะหวา่ งก ลุม่ ผ ลป ระโยชนต์ า่ งๆ ระหวา่ งร ฐั กลุม่ ภ ารกจิ น ยิ มใหมจ่ งึ เลง็ เหน็ ค วามจ ำเปน็ ข องอ ำนาจ
เหนือรัฐ (Supranationalism) ที่ช ่วยส่งเสริม กระตุ้นและใช้อิทธิพลกดดันให้เกิดมีการบูรณาการระหว่างรัฐในท้าย
ที่สุด เหตุการณ์ท ี่แสดงให้เห็นค วามส ำคัญข องแ นวคิดก ลุ่มน ี้คือการร วมก ลุ่มข องป ระเทศต ่างๆ ในยุโรปช ่วงท ศวรรษ
1950 จากจุดเริ่มต้นของการก่อตั้งประชาคมถ่านหินและเหล็กกล้าแห่งยุโรป ต่อมามีความพยายามจะขยายความ
ร ่วมม ือแ ละก าร บูร ณาก ารในก ิจกรรมด ้านอ ื่นๆ ซึ่งเป็นผ ลม ากจ ากก ารผ ลักด ันข องค ณะก รรมาธิการ (Commissions)
ซึ่งถือว่าเป็นตัวแทนที่ได้รับแต่งตั้งจากกรรมการจากรัฐสมาชิก คณะกรรมาธิการนี้ถือว่าเป็นตัวแทนขององค์การ
เหนือชาติ (Supranational Organisation) มากกว่าที่จะอยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐ ดังนั้น การบูรณาการในมิติ
ใหม่ๆ ของก ิจกรรมร ะหว่างรัฐต่างๆ ในยุโรปถ ือว่าเป็นการริเริ่มเพื่อการร วมต ัวกันเป็นอันหนึ่งอ ันเดียวกัน
แนวคิดโลกนิยม
แนวคิดโลกนิยมเป็นแนวคิดที่มองว่าโลกมีพัฒนาการจากการที่บรรดารัฐต่างๆ มีความสัมพันธ์ระหว่างกัน
มากข ึ้นท ำให้ส ภาพแ วดล้อมร ะหว่างป ระเทศม ีค วามเป็นส ากลโลกม ากข ึ้น แนวค วามค ิดน ี้ท ้าทายค วามเชื่อข องแ นวคิด
สัจนิยมเดิมโดยแ ย้งว ่าร ัฐไม่ได้เป็นต ัวแ สดงห ลักเพียงต ัวแ สดงเดียวในเวทีค วามส ัมพันธ์ร ะหว่างป ระเทศอ ีกต ่อไป รัฐ
ได้ส ูญเสียสถานภาพข องตัวแ สดงห ลักเนื่องจากม ีก ารแลกเปลี่ยนท างเศรษฐกิจ สังคมและว ัฒนธรรมกันอ ย่างเข้มข ้น
มากข ึ้น รวมถ ึงม ีการเกิดข ึ้นข องต ัวแ สดงท ี่ไม่ใช่ร ัฐท ี่ม ีบทบาทอ ีกในเวทีค วามส ัมพันธ์ร ะหว่างป ระเทศในช ่วงท ศวรรษ
ที่ 1960 และ 1970 ซึ่งได้รับอิทธิพลจ ากค วามเปลี่ยนแปลงและพัฒนาการอ ย่างเห็นได้ชัดคือ ประการแ รก มีรัฐใหม่
เกิดขึ้นจ ำนวนม ากภายหลังจากก ารได้รับเอกราชจ ากประเทศเมืองแม่หลังสงครามโลกค รั้งที่ 2 โดยเฉพาะอ ย่างย ิ่งใน
ทวีปเอเชียและแ อฟริกา และหลังจ ากก ารล ่มส ลายของส หภาพโซเวียตในช ่วงทศวรรษ 1990 บรรดาร ัฐต ่างๆ ที่เคยอ ยู่
ภายใต้ก ารปกครองข องส หภาพโซเวียตได้แยกต ัวอ อกเป็นกล ุ่มเครือรัฐอิสระ (Commonwealth of Independent
States: CIS) และการแตกเป็นรัฐเล็กรัฐน้อยในยุโรปตะวันออก9 ประการที่สอง การพัฒนาการอย่างรวดเร็วของ
เครือข่ายก ลุ่มองค์การข ้ามช าติต่างๆ (Transnational Organisation) และก ลุ่มองค์การน อกภาคร ัฐร ะหว่างประเทศ
(INGO) ซึง่ ก ลุม่ เหลา่ น ตี้ อ้ งการเขา้ ม าม บี ทบาทแ ละจ ดั การป ญั หาในร ปู แ บบใหมๆ่ ทรี่ ฐั บาลห รอื อ งคก์ ารร ะหวา่ งป ระเทศ
ไม่ส ามารถจ ะตอบสนองกลุ่มเหล่านี้ได้
ในมุมมองของนักวิชาการชาวฝรั่งเศสกลุ่มสถาบันระหว่างประเทศ (Institutionalisme international)
เช่น โกลด อัลแบร์ โกลิยารด์ (Claude-Albert Colliard) และ หลุยส์ ดูบูยส์ (Louis Dubouis) ได้กล่าวถ ึงส ังคม
ระหว่างประเทศว่าประกอบไปด้วยสังคมพื้นฐานทางการเมืองที่สำคัญคือ รัฐซึ่งมีความแตกต่างกัน กระบวนการ
สร้างสถาบันได้เกิดขึ้นในสังคมร ะหว่างประเทศโดยอ าศัยเครือข ่ายของส ถาบันอ งค์การระหว่างป ระเทศ นอกจากน ี้ใน
สงั คมร ะหวา่ งป ระเทศย งั ม ปี จั เจกบคุ คลท มี่ คี วามส มั พนั ธร์ ะหวา่ งก นั ในแ บบท ไี่ มใ่ ชค่ วามส มั พนั ธร์ ะดบั ร ฐั อ กี ด ว้ ย โดยที่
สถาบันร ะหว่างป ระเทศถ ือก ำเนิดข ึ้นก เ็พื่อป กป้องค ุ้มครองป ัจเจกบุคคลในฐ านะท ีเ่ป็นอ งค์ป ระกอบท ีส่ ำคัญข องค วาม
สัมพันธ์ร ะหว่างประเทศ10
9 สาธารณร ัฐเชค (Czech Republic) สโลว าเกีย (Slovakia) สโลวีเนีย (Slovenia) โครเอเชีย (Croatia) เซอ ร์เบีย (Serbia) บอสเนีย
และเฮอ ร์เซโกว ีนา (Bosnia and Herzegovina) อาเซอร์ไบจ าน (Azerbaijan) อาร์เมเนีย (Armenia) เอสโตเนีย (Estonia) ลัตเวีย (Latvia)
และมอลโดว า (Moldova)
10 โปรดดู ขจิต จิตตเสวี อ้างแ ล้ว หน้า 16
ลขิ สิทธ์ขิ องมหาวทิ ยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช