Page 93 - ระบบสำนักงานอัตโนมัติและพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์
P. 93

แนวคิดและกระบวนการพัฒนากลยุทธ์พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ 9-13

       ทั้งนี้ กลุ่มคนเหล่านี้อาจจะเป็นลูกค้าขององค์กร ซึ่งมีความต้องการสินค้าและบริการแตกต่างกัน โดยเฉพาะ
กลุม่ คน Gen-M ทีม่ กั ใหค้ วามส�ำ คญั กบั การซือ้ ขายสนิ คา้ ผา่ นทางโทรศพั ทเ์ คลือ่ นที่ หรอื พาณชิ ยท์ างโทรศพั ทเ์ คลือ่ นที่
ซึ่งหมายถึงการส่งข้อมูลผ่านทางโทรศัพท์เคลื่อนที่ เช่น ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ (e-Mail) สินค้า และบริการ การซื้อ
ขายสินค้า และโอกาสทางธุรกิจ

       ปัจจุบันการพาณิชย์บนโทรศัพท์เคลื่อนที่ (m-Commerce) มีความสำ�คัญต่อการดำ�เนินการทางตลาด
เนื่องจากการดำ�รงชีวิตประจำ�วันของคนทั่วไปไม่ได้อยู่ใกล้เครื่องคอมพิวเตอร์เพื่อรับและส่งข้อมูลข่าวสาร แต่คน
จำ�นวนมากใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่แทน โดยเฉพาะในระหว่างเดินทาง ทำ�ให้สามารถตรวจสอบราคาหุ้น อากาศ ผลการ
แข่งขันกีฬา ติดต่อเพื่อน รับและส่งไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ สั่งซื้อสินค้าและบริการ ดังนั้น ผู้ใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่
สามารถติดต่อกับคนอื่นๆ จากทุกๆ ที่ในเวลาใดๆ ก็ตาม

       ทั้งนี้ เมื่อองค์กรรู้ว่า ลูกค้าขององค์กรคือคนกลุ่มไหนแล้ว องค์กรก็จะสามารถวางกลยุทธ์การตลาดพาณิชย์
อิเล็กทรอนิกส์ได้ โดยจำ�เป็นต้องมีการวางแผนทางการตลาดด้วยหลักการกลยุทธ์การตลาดพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์
ซึ่งประกอบด้วยผลิตภัณฑ์ (product) ราคา (price) การจัดจำ�หน่าย (place) การส่งเสริมการตลาด (promotion)
การให้บริการแบบเฉพาะเจาะจง (personalization) การรักษาความเป็นส่วนตัว (privacy) ดังรายละเอียดต่อไปนี้

       1. 	 ผลิตภัณฑ์ (product) ผลิตภัณฑ์ทางพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ อาจอยู่ในรูปของสินค้า (goods) บริการ
(service) กิจกรรม (event) ประสบการณ์ (experience) บุคคล (person) สถานที่ (place) ทรัพย์สินทางการเงิน
(financial property) อสังหาริมทรัพย์ (real property) และองค์กร (organization) เช่น โทรศัพท์เคลื่อนที่ เพลง
หุ้น ตั๋วเครื่องบิน ที่ปรึกษาทางการเงิน บริการของธนาคาร เป็นต้น

       ประเด็นที่สำ�คัญของผลิตภัณฑ์ในการดำ�เนินพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์คือ คุณภาพ ความสำ�เร็จ ความเชื่อถือ	
ความซื่อสัตย์ เช่น คุณภาพของสินค้า หมายถึง สินค้าที่มีผลตอบแทนสูง และมีการปรับปรุงซ่อมแซมหรือการ	
ร้องเรียนปัญหาของลูกค้าน้อยที่สุด คุณภาพสินค้าจัดเป็นองค์ประกอบที่สำ�คัญมากของพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์	
เพราะจะทำ�ให้ลูกค้าเกิดความเชื่อถือต่อสินค้าและองค์กร ทำ�ให้มีการซื้อครั้งต่อไป เนื่องจากสินค้าหลายชนิดที่ซื้อขาย
ทางอินเทอร์เน็ต ลูกค้าไม่ได้สัมผัสหรือทดลองซื้อสินค้าก่อนตัดสินใจซื้อ

       2. 	 ราคา (price) การตั้งราคาสินค้าในตลาดออนไลน์แตกต่างจากการตั้งราคาสินค้าในร้านค้าจ�ำ หน่ายสินค้า
เนื่องจากในการซื้อสินค้าและบริการบางประเภท ลูกค้าไม่จำ�เป็นต้องเสียค่าบริการ เพราะองค์กรต้องการสร้างสังคม
ออนไลน์ และการตัง้ ราคาขายสนิ คา้ ผา่ นอนิ เทอรเ์ นต็ สว่ นใหญจ่ ะตํา่ กวา่ การตัง้ ราคาสนิ คา้ ทีข่ ายผา่ นรา้ นคา้ หรอื ตวั แทน
จ�ำ หนา่ ย เนือ่ งจากองคก์ รไมจ่ �ำ เปน็ ตอ้ งเสยี คา่ ใชจ้ า่ ยในการเชา่ สถานที่ หรอื คา่ ใชจ้ า่ ยในการขยายสาขา เชน่ การตัง้ ราคา
ตั๋วเครื่องบิน การตั้งราคาค่าห้องพักของโรงแรม เป็นต้น ดังนั้นในตลาดสินค้าออนไลน์ ราคาจึงไม่ใช่ปัจจัยสำ�คัญที่สุด
ในการแข่งขัน เพราะองค์กรต่างๆ ในตลาดออนไลน์ต่างเสนอขายสินค้าและบริการในราคาตํ่ากว่าราคาสินค้าในร้านค้า
อยู่แล้ว

       3. 	 การจดั จ�ำ หนา่ ย (place) พาณชิ ยอ์ เิ ลก็ ทรอนกิ สช์ ว่ ยอำ�นวยความสะดวกในการแลกเปลีย่ นระหวา่ งองคก์ ร
และลูกค้า ทำ�ให้อินเทอร์เน็ตกลายเป็นช่องทางการจัดจำ�หน่ายหนึ่งของการตลาดยุคใหม่ ซึ่งมีราคาถูก รวดเร็ว และ
มีประสิทธิภาพ นอกจากนั้นยังทำ�ให้สถานที่การจัดจำ�หน่ายสินค้าไม่มีความสำ�คัญ เนื่องจากลูกค้าสามารถเข้าถึง
อนิ เทอรเ์ นต็ ไดจ้ ากทกุ แหง่ ทกุ สถานทีใ่ นโลกนี้ โดยไมต่ อ้ งเดนิ ทางไปทีร่ า้ นคา้ ดว้ ยตวั เอง รวมทัง้ ลกู คา้ สามารถซือ้ สนิ คา้
บางประเภท โดยไม่ต้องรอการจัดส่งขององค์กร เช่น การซื้อโปรแกรมคอมพิวเตอร์สำ�เร็จรูป โดยการดาวน์โหลดทันที
เมื่อจ่ายเงินผ่านบัตรเครดิต การซื้อตั๋วเครื่องบิน การซื้อเพลง การสั่งซื้อดอกไม้ ในทางตรงกันข้าม ข้อเสียของการซื้อ
สินค้าผ่านอินเทอร์เน็ตคือ การขโมยข้อมูลทางอินเทอร์เน็ต เช่น ข้อมูลบัตรเครดิต เป็นต้น

                              ลิขสิทธข์ิ องมหาวิทยาลยั สโุ ขทัยธรรมาธริ าช
   88   89   90   91   92   93   94   95   96   97   98