Page 27 - การเมืองการปกครองไทย หน่วยที่ 5
P. 27
โครงสร้าง และสถาบันการเมืองการปกครองของไทย 5-17
ตามท ี่ไว้วางใจ โดยม ีก ารจัดแ บ่งห น้าที่ต่างๆ ไว้ เพียงแ ต่ก ารกำ�หนดตำ�แหน่ง (positions) และคัดเลือกเข้า
ท ำ�หน้าทีย่ ังอ าจไม่มีค วามเป็นส ถาบัน (were not institutionalized) (Likhit Dhiravegin, 1985: 3) เหมือน
ในย ุคอยุธยาแ ละย ุคต่อๆ มา กล่าวคือ ยังไม่มีร ะเบียบแ บบแผนที่ช ัดเจน อย่างไรก็ตาม ในส่วนน ี้ที่เป็นส่วน
น้อยก็อาจถือได้ว่าเป็นฝ่ายผู้ปกครอง หรือเป็นผู้ดำ�เนินการกิจการสำ�คัญๆ ในอ าณาจักร เพื่อให้เกิดความ
สงบส ุขเรียบร้อยภ ายในส ังคม และต ่อต ้านก ารร ุกรานจ ากภ ายนอก หรืออ ยู่ในฐ านะผ ู้นำ� (leaders) ของค นใน
สังคม โดยมีศูนย์กลางของการปกครองทั้งมวลอยู่ที่ตัว “พ่อขุน” ซึ่งปรากฏจากหลักฐานต่างๆ ว่า ในสมัย
“พ่อขุนรามคำ�แหง” การปกครองและบริหารจัดการด้านต่างๆ ภายในอาณาจักรสุโขทัยเป็นไปอย่างกว้าง
ขวางแ ละเพื่อความอยู่ดีก ินด ีของผ ู้คนท ั้งห ลาย ประชาชนเองก็สามารถเข้าไป “ใกล้ช ิด” ผู้ป กครองสูงสุดได้
เมื่อม ีเรื่อง “เจ็บข้องห มองใจ” หรือแ ม้แต่มีข้อพิพาทต ่างๆ ระหว่างกัน เพื่อให้พ่อขุนเป็นผู้ “แล่งค วามแ ก่ข า
ด้วยซื่อ” หรือต ัดสินให้ยุติข้อพิพาทเหล่าน ั้น
ในอ ีกด้านห นึ่ง คนส ่วนใหญ่ในส ังคมจ ึงเป็นฝ่ายที่อยู่ใต้ก ารป กครอง (ruled) ที่ม ีค ำ�เรียกผู้คนท ี่ไม่
ได้อยู่ในฐ านะผู้ปกครอง (rulers) หลายค ำ� คือ ท่วย ไท ไพร่ ไพร่พล ข้า ลูกบ้านล ูกเมือง และคน “... ไพร่ฟ ้า
ลูกเจ้า ลูกขุน...ให้ฝ ูงท ่วยล ูกเจ้าลูกขุน ฝูงท่วยถือบ้านถือเมือง” เป็นค นจำ�นวนมากที่สุดในส ังคม
เหตุนี้ ลักษณะโครงสร้างทางสังคมส ุโขทัยอ าจแยกออก กว ้างๆ ได้เป็น 2 ชนชั้นท างส ังคม (Social
Classes) คือ
หนงึ่ ชนชั้นผ ู้ปกครอง (ruling classes)
ส่วนส ำ�คัญ ก็ค ือ กษัตริย์ หรือ “พ่อขุน” พระส งฆ์ และข ุนนาง ข้าราชการ (พิสิฐ เจริญว งศ์ คงเดช
ประพัฒน์ทอง และศุภรัตน์ เลิศพาณิชย์กุล 2527: 101-106) หรือผ ู้ทำ�หน้าที่ด้านการปกครองและบริหาร
ช่วยเหลือผู้นำ�สูงสุด รวมทั้ง “พระราชวงศ์” หรือ เครือญ าติใกล้ชิด “พ่อขุน”
สอง ชนชั้นผ ู้ถ ูกปกครอง (the ruled classes)
ส่วนใหญ่อยู่ในฐานะไพร่ และระดับต ํ่าสุด คือ ทาส (พิสิฐ เจริญว งศ์ คงเดช ประพ ัฒน์ทอง และ
ศ ุภรัตน์ เลิศพ าณิชย์ก ุล 2527: 101-106) แต่ก ็ม ีคนห ลากหลายก ลุ่ม คือ มีก ารเรียกว ่า ไทย ท่วย คน ลูกบ้าน
ลูกเมือง ไพร่ฟ ้า ข้า ไพร่พล เป็นต้น บางส ่วนก ็เป็น “นายช ่าง” คือเป็นการท ำ�งานมีท ักษะในด ้านใดด ้านห นึ่ง
เช่น ช่างอ ิฐ ช่างก ่อ ช่างก่อสร้าง และช่างปั้น เป็นต้น ทาสส ่วนใหญ่ในย ุคน ี้ คงจะมาจ ากก ารใช้ก ำ�ลังไพร่พล
เข้าไปย ึดครองเมือง หรือรัฐอื่น แล้วกว าดต้อนเอาผู้คนบ างส่วนเข้าม าเป็นท าส
อย่างไรก็ตาม โครงสร้างท างสังคมดังกล่าวนี้ ไม่ได้แบ่งแยกอ ย่างเป็นท างการหรืออย่างเป็นสถาบัน
เพราะความคิด ความเชื่อ และค ่าน ิยมพ ื้นฐ านข องว ัฒนธรรมที่ส ังคมส ุโขทัยย ึดถือ ยังเป็น “ผี” กับ “พุทธ
(ศาสนา)” คือ เชื่อในสิ่งม ีช ีวิตน อกเหนือธ รรมชาติ (supernatural being) ในแ บบส ังคมเกษตรกรรมล ้าหลัง
และแ นวคิดเรื่องก ารเกิดใหม่ เรื่องบ าป-บุญ หรือก รรม หรือก ารกร ะท ำ�ความด ี และล ะเว้นค วามช ั่วท ั้งป วงข อง
พุทธศ าสนา อิทธิพลของลัทธิพราหมณ์ย ังมีน ้อย ต่างจากสังคมในยุคอ ยุธยา
เหตุน ี้ ในด้านโครงสร้าง และส ถาบันทางการเมืองจ ึงเป็นโครงสร้างห ลวมๆ ซํ้าซ้อนอ ยู่กับโครงสร้าง
ทางสังคม และยังขาดการสร้างสถาบันที่มีรูปแบบและแบบแผนที่ชัดเจน เพราะอำ�นาจทุกด้านในการสร้าง
ความสงบสุขภายใน ส่งเสริมการทำ�มาหากิน การ “สร้างบ้านแปงเมือง” ตลอดจนการตัดสินข้อพิพาทของ