Page 28 - การเมืองการปกครองไทย หน่วยที่ 5
P. 28

5-18 การเมืองการปกครองไทย

คนในส​ ังคม และอ​ ำ�นาจก​ าร​ระดม​คน​เข้าส​ ู่ส​ งคราม ป้องกัน​อาณาเขต และ​การเ​ข้าไปย​ ึดค​ รองเ​มือ​งอื่นๆ ล้วน​
เป็นอ​ ำ�นาจข​ อง “พ่อขุน” หรือก​ ษัตรยิ ์ พอ่ ขนุ จ​ งึ เ​ป็น “ศนู ย์กลางข​ องอ​ �ำ นาจ” และเ​ป็นก​ ลไกส​ ำ�คัญส​ งู สุดข​ องร​ ัฐ

       ในย​ ุคน​ ี้ รัฐก​ ับส​ ังคมจ​ ึงเ​ป็นโ​ครงสร้างร​ ่วม หรือ “รัฐร​ ่วมส​ ังคม” ยังไ​ม่มีก​ ารส​ ร้างส​ ถาบันร​ ัฐแ​ ยกอ​ อก​
มา​จากโ​ครงสร้างส​ ังคมอ​ ย่าง​ชัดเจน หรือย​ ัง​ไม่ป​ รากฏ​แบบแผนแ​ ละ​กลไกใ​น​การใ​ช้​อำ�นาจต​ ่างๆ แยก​ออก​มา​
เป็น​ส่วนๆ หรือ​อย่าง​เป็น​ระบบ หลัก​ฐาน​ต่างๆ สามารถ​อ้างอิง​ได้​เพียง​ว่า​มี​โครงสร้าง​การ​ปกครอง​แบบ​รวม​
ศูนยอ์​ ำ�นาจอ​ ยูท่​ ี่ “พ่อขุน” หรือร​ ูปแ​ บบก​ ษัตริยท์​ ีส่​ ืบทอดอ​ ำ�นาจภ​ ายในร​ าชวงศ์ หรือส​ ายโ​ลหิต (monarchical
form government)

       เมื่อเ​ปรียบเ​ทียบก​ ับอ​ าณาจักร หรือร​ ัฐอ​ ื่นท​ ีม่​ กี​ ารจ​ ัดโ​ครงสร้าง และส​ ถาบันท​ างการเ​มืองท​ ีม่​ แี​ บบแผน​
ชัดเจน และม​ คี​ วามเ​ข้มแ​ ข็งม​ ากกว่า ดังเ​ช่นก​ รณอี​ ยุธยา อาณาจักรส​ ุโขทัยจ​ ึงค​ ่อนข​ ้างอ​ ่อนแอ และค​ ่อยๆ หมด​
อิทธิพล​ลงแ​ ละ​ตก​เป็น “เมืองข​ ึ้น” ของอ​ ยุธยา​ในเ​วลา​ต่อม​ า

2. 	ยคุ อ​ ยธุ ยา

       อยุธยา​เป็น​อาณาจักร​ใหญ่ มี​ความ​ยืนยาว​ต่อ​เนื่อง​กัน​ถึง​ประมาณ 417 ปี ใน​ฐานะ “ศูนย์กลาง”
ของ​การ​ปกครอง​ผู้คน​จำ�นวน​มาก รูป​แบบ​การ​ปกครอง​ที่​โดด​เด่น คือ ระบอบ​กษัตริย์​ที่​สืบสาย​โลหิต​อยู่​ใน​
ราชวงศ์ต​ ่างๆ รวม 5 ราชวงศ์ อยุธยาม​ ี​การส​ ร้างส​ ถาบันก​ ารเมือง​การ​ปกครอง​ที่ม​ ี​อยู่แ​ บบ​ชัดเจน มีโ​ครงสร้าง​
ที่​มี​ความ​ซับ​ซ้อน และ​มี​พัฒนาการ​ไป​ตาม​ยุค​สมัย​ของ​ผู้​ปกครอง จาก​พื้น​ฐาน​ความ​เชื่อ ศาสนา และ​หลัก​
การท​ างศ​ าสนา​พุทธ ความ​เชื่อ​เรื่อง​ผี หรือเ​ทวดา หรือส​ ิ่ง​มี​ชีวิตเ​หนือ​ธรรมชาติ และ​ยัง​นำ�​เอา​ความเ​ชื่อ และ​
หลกั ก​ ารท​ างศ​ าสนาพ​ ราหมณข​์ องอ​ นิ เดยี ผา่ นท​ างข​ อมเ​ขา้ ม​ าป​ ระยกุ ตใ​์ ชด​้ ว้ ย โดยเ​ฉพาะอ​ ยา่ งย​ ิง่ การน�ำ ​มาสร​ า้ ง​
สถาบันก​ ษัตริย์แ​ ละโ​ครงสร้างก​ ารป​ กครองท​ ี่เ​ป็นร​ ูปแ​ บบเ​ฉพาะข​ องอ​ ยุธยา เพราะพ​ ื้นฐ​ านค​ วามค​ ิด ความเ​ชื่อ​
ของศ​ าสนา​พราหมณ์ คือ การ​มี “เทพเจ้า” (God) หลาย​องค์ท​ ีล่​ ้วนม​ ี “อำ�นาจ” และบ​ ทบาท​สำ�คัญใ​นด​ ้านต​ ่างๆ
เช่น พระ​พรหม คือ ผู้ส​ ร้าง​โลก หรือ​เทพ​สูงสุด พระ​พิรุณ ผู้​ประทาน​ฝน พระ​นารายณ์ คือ ผู้​ปราบ​ปราม​มาร​
หรือส​ ิ่ง​ชั่ว​ร้าย และ​พระอินทร์ คือ เทพ​แห่ง​สงคราม เป็นต้น

       ผู้​ปกครอง หรือ​กษัตริย์ ได้​รับคำ�​อธิบาย​ตาม​ลัทธิ​พราหมณ์​ว่า​เป็น เทพเจ้า “อวตาร” ลง​มา​เพื่อ​
ปกครอง​มนุษย์​หรือ​คน กษัตริย์ จึง​เป็น “สมมติ​เทพ” หรือ​เทว​ราชา​ที่ม​ ีพ​ ระ​ราช​อำ�นาจ​สูงสุด​และ​กว้าง​ขวาง
พราหมณ์​หรือ​นักบวช ทำ�​หน้าที่​เป็น “สื่อ​กลาง” หรือต​ ัว​เชื่อม​ระหว่างก​ ษัตริย์ก​ ับเ​ทพเจ้า

       โครงสร้าง และส​ ถาบันท​ างการเ​มืองใ​นย​ ุคอ​ ยุธยาเ​ริ่มม​ ีแ​ บบแผนช​ ัดเจนต​ ั้งแต่ย​ ุคแ​ รก และไ​ด้พ​ ัฒนา​
หรอื เ​ปลีย่ นแปลงค​ รัง้ ส​ �ำ คญั ใ​นย​ คุ ส​ มเดจ็ พ​ ระบรมไ​ตรโลกน​ าถ จนก​ ลายเ​ปน็ โ​ครงสรา้ งห​ ลกั ท​ ชี​่ นชัน้ ผ​ ปู​้ กครอง​
ยึดถือ​กัน​มา​จนถึง​ยุค​รัตนโกสินทร์​ตอน​กลาง จึง​เริ่ม​มี​การนำ�​รูป​แบบ​ใหม่​มา​ใช้​จาก​อิทธิพล​ของ​ตะวัน​ตก​ที่​มี​
ความท​ ัน​สมัย​มากกว่า

1. 	โครงสร้าง และ​สถาบนั ท​ างการเ​มอื งย​ ุค​ตน้ : กษัตริย​แ์ ละจ​ ตสุ ดมภ์
   23   24   25   26   27   28   29   30   31   32   33