Page 57 - การเมืองการปกครองไทย หน่วยที่ 5
P. 57

โครงสร้าง และสถาบันการเมืองการปกครองของไทย 5-47

       โครงสร้าง และ​สถาบัน​ทางการ​เมือง​การ​ปกครอง​ตาม​รัฐธรรมนูญ​ฉบับ​นี้​เปลี่ยนแปลง​ไป​จาก​
รัฐธรรมนูญ​ฉบับ​ก่อนๆ ที่​สำ�คัญ คือ ใน​ส่วน​ของส​ ถาบันพ​ ระ​มหาก​ ษัตริย์ คือ กำ�หนด​ให้ม​ ีค​ ณะ​อภิ​รัฐมนตรี
มาท​ ำ�​หน้าที่ “ถวายค​ ำ�​ปรึกษาแ​ กพ่​ ระม​ หาก​ ษัตริย์ เพื่อป​ ระโยชนแ์​ กป่​ ระเทศช​ าตทิ​ ุกส​ าขา” รวมท​ ั้งก​ ารท​ ำ�​หน้าที​่
เป็น​ผู้​สำ�เร็จร​ าชการแ​ ทน​พระองค์ และก​ ารก​ ำ�หนดใ​ห้ม​ ี​สภาร​ ่างร​ ัฐธรรมนูญ ที่ม​ ี​สมาชิก​จำ�นวน 40 คน เพื่อ​จัด​
ทำ�​รัฐธรรมนูญฉ​ บับ​ใหม่ เพราะ​รัฐธรรมนูญฉ​ บับ​นี้​ระบุ​ชื่อ​ไว้​ว่า “รัฐธรรมนูญแ​ ห่ง​ราช​อาณาจักรไ​ทย (ฉบับ​
ชั่วคราว) พ.ศ. 2490” ที่เ​กิด​ขึ้นห​ ลังจ​ ากก​ าร​รัฐประหารข​ อง​ผู้นำ�​ทหาร โดยก​ ารนำ�​ของ พล.ท.ผิน ชุณห​ะ​วัณ
และ​จอมพล ป. พิบูล​สงคราม รัฐธรรมนูญ​ฉบับ​นี้​จึง​ไม่​ให้​ความ​สำ�คัญ​กับ​สถาบัน​ทางการ​เมือง​ที่​เป็น
​พื้นฐ​ าน​การส​ ่ง​เสริมก​ าร​มีส​ ่วนร​ ่วมท​ างการเ​มือง​ของ​ประชาชนม​ าก​นัก ทั้ง​การ​เลือก​ตั้ง กลุ่ม​ผล​ประโยชน์ และ​
พรรคการเมือง

5. 	ภาย​ใต​้รัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2492

       รัฐธรรมนูญฉ​ บับน​ ี้ ได้เ​ปลี่ยนแปลง​โครงสร้าง และส​ ถาบันท​ างการเ​มือง​การ​ปกครองบ​ างอ​ ย่าง​ไปใ​น​
ทางส​ ง่ เ​สรมิ ก​ ารพ​ ฒั นาการเ​มอื งร​ ะบอบป​ ระชาธปิ ไตยท​ ถี​่ อื ห​ ลกั ก​ ารว​ า่ “อ�ำ นาจอ​ ธปิ ไตยเ​ปน็ ข​ องป​ ระชาชน” และ​
มีก​ ารก​ ำ�หนด​สาระ​สำ�คัญ​ของ​การเ​ข้า​สู่​อำ�นาจ​และก​ าร​ใช้​อำ�นาจ​ของ​บุคคล​ที่​มีบ​ ทบาท​และ​หน้าที่​อยู่​ในส​ ถาบัน​
ทางการ​เมือง​ต่างๆ ที่​เป็น​ไป​ใน​ทาง​ส่ง​เสริม​อำ�นาจ​อธิปไตย​ของ​ปวง​ชน​หลาย​อย่าง เพราะ​เป็น​รัฐธรรมนูญ​ที่​
ยก​ร่างข​ ึ้น​มา​จาก “สภาร​ ่างร​ ัฐธรรมนูญ” ที่​มีค​ วาม​เป็น​อิสระ​พอ​สมควร และใ​ช้​วิธี​การ​เปิดร​ ับฟ​ ัง​ความ​คิดเ​ห็น​
ของ​ประชาชน​อย่าง​กว้าง​ขวาง รวม​ทั้ง​การ​ค้นคว้า​ข้อมูล​และ​แนวคิด​มา​จาก​รัฐธรรมนูญ​ของ​นานา​ประเทศ
จาก​บทบัญญัติท​ ี่ม​ ี​มากถ​ ึง 188 มาตรา จึงท​ ำ�ให้เ​ห็นเ​จตนาข​ อง​ผู้​ยกร​ ่าง​และเ​จตนารมณ์ใ​นก​ ารป​ ูพ​ ื้น​ฐานข​ อง​
ประชาธิปไตยใ​ห้ม​ ากข​ ึ้นก​ ว่าเ​ดิม ทั้งนี้ รัฐธรรมนูญไ​ด้จ​ ัดว​ างโ​ครงสร้าง และส​ ถาบันท​ างการเ​มืองก​ ารป​ กครอง​
คล้ายคลึงก​ ับ​รัฐธรรมนูญ​ฯ พ.ศ. 2489 และไ​ด้เ​พิ่มเ​ติมใ​นส​ ่วนข​ องส​ ถาบันพ​ ระ​มหา​กษัตริย์ คือก​ ำ�หนดใ​ห้ม​ ี
“คณะอ​ งคมนตรี” มาแ​ ทน “คณะอ​ ภิร​ ัฐมนตรี” ตามร​ ัฐธรรมนูญฯ​ พ.ศ. 2490 รวมท​ ั้งพ​ ระร​ าชอ​ ำ�นาจเ​พิ่มเ​ติม​
ใน​ส่วนข​ องส​ ภา​สูง กล่าวค​ ือ ทรงแ​ ต่ง​ตั้งป​ ระธานอ​ งคมนตรี 1 คน และ​องคมนตรีอ​ ีก​ไม่​เกิน 8 คน ทำ�​หน้าที​่
ถวาย​คำ�​ปรึกษา​แด่​พระ​มหา​กษัตริย์ โดย​ผู้​ได​้รับ​แต่ง​ตั้ง​ต้อง​เป็นก​ลาง​ทางการ​เมือง จะ​เป็น​ข้าราชการ​ประจำ�
รัฐมนตรี และข​ ้าราชการเ​มือง​ อื่นๆ มิได้ และท​ รงเ​ลือกแ​ ละแ​ ต่งต​ ั้ง “สมาชิกว​ ุฒิสภาจ​ ากผ​ ูม้​ สี​ ิทธิ​์สมัครร​ ับเ​ลือก​
ตั้งเ​ป็นส​ มาชิกส​ ภาผ​ ูแ้​ ทน และม​ ีอายไุ​มต่​ ํ่าก​ ว่า 40 ปีบร​ บิ​ ูรณ์ ซึ่งท​ รงพ​ ระร​ าชดำ�รเิ​ห็นว​ ่า เป็นผ​ ู้ทรงค​ ุณวุฒโิ​ดยม​ ​ี
ความร​ คู้​ วามช​ ำ�นาญใ​นว​ ิชาการห​ รอื ก​ จิ การต​ า่ งๆ อนั จ​ ะย​ งั ป​ ระโยชนใ์​หแ้​ กก​่ ารป​ กครองแ​ ผ่นดิน และใ​หป้​ ระธาน​
องคมนตรี​เป็น​ผู้​ลง​นาม​รับ​สนอง​พระบรม​ราชโองการ​แต่ง​ตั้ง​สมาชิก​วุฒิสภา” (มาตรา 82) พระ​ราช​อำ�นาจ​
ดังก​ ล่าวน​ ี้ ตามเ​จตนารมณข​์ องร​ ฐั ธรรมนูญก​ ค​็ ือ การเ​พิ่มอ​ ำ�นาจด​ ้านน​ ิตบิ ัญญตั ใิ​หก​้ ับส​ ถาบันพ​ ระม​ หาก​ ษัตรยิ ์
ที่​มี​ความ​เป็น​จริง และ​ชัดเจน​มากกว่า​ใน​อดีต เพื่อ​จะ​เป็นการ​ถ่วง​ดุลอำ�นาจ​กับ​สถาบัน​ทางการ​เมือง​อื่น
โดย​เฉพาะ​อย่าง​ยิ่ง​คือ สภา​ผู้​แทน​ราษฎร​และ​คณะ​รัฐมนตรี ยิ่ง​ไป​กว่า​นั้น​การ​ใช้​กำ�ลัง​ทหาร​เพื่อ​การ​รบ ทำ�​
สงคราม หรือ​ปราบจ​ ลาจลต​ ้องข​ อ​พระบรมร​ าชโองการก​ ่อนจ​ ึงจ​ ะ​สั่งก​ าร​ได้

       สถาบัน​นิติบัญญัติ คือ ระบบ​รัฐสภา ประกอบ​ด้วย วุฒิสภา สมาชิก​จำ�นวน 100 คน วาระ​ดำ�รง​
ตำ�แหน่ง 6 ปี เมื่อค​ รบว​ าระ 3 ปี ใหจ้​ ับส​ ลากอ​ อกก​ ึ่งห​ นึ่ง แตใ่​นร​ ะยะแ​ รกห​ ลังป​ ระกาศใ​ชร้​ ัฐธรรมนูญใ​หส้​ มาชิก​
   52   53   54   55   56   57   58   59   60   61   62