Page 68 - การเมืองการปกครองไทย หน่วยที่ 5
P. 68

5-58 การเมืองการปกครองไทย

       สถาบันน​ ิติบัญญัติ ใช้​ระบบ​รัฐสภา โดย​ประกอบด​ ้วย 2 โครงสร้างย​ ่อย คือ วุฒิสภา สมาชิก 100
คน มี​วาระ 6 ปี เมื่อ​ครบ 3 ปี ให้​จับ​สลาก​ออก​ครึ่ง​หนึ่ง เพื่อ​ให้​มี​การ​แต่ง​ตั้ง​ใหม่ มี​อำ�นาจ​หน้าที่​ใน​การ
ก​ลั่น​กรอง​กฎหมาย​ที่​ผ่าน​มา​จาก​สภา​ผู้​แทน​ราษฎร และ​มี​อำ�นาจ​ใน​การ​ควบคุม​และ​ตรวจ​สอบ​การ​ทำ�งาน​
ของค​ ณะ​รัฐมนตรีด​ ้วย​วิธีก​ ารต​ ั้งก​ ระทู้​ถาม​เท่านั้น อีก​โครงสร้าง​หนึ่ง คือ สภา​ผู้​แทนร​ าษฎร มีจ​ ำ�นวนร​ ะหว่าง
240-300 คน ตามส​ ัดส่วนป​ ระชากร​ที่ก​ ำ�หนดไ​ว้​ใน​กฎหมายเ​ลือกต​ ั้ง ผู้​สมัครร​ ับ​เลือก​ตั้งต​ ้อง​มีอายุ 25 ปีข​ ึ้น​
ไป มีว​ าระด​ ำ�รงต​ ำ�แหน่ง 4 ปี อำ�นาจห​ น้าที่ส​ ำ�คัญค​ ือ การต​ ราก​ ฎหมาย และค​ วบคุมก​ ารบ​ ริหารร​ าชการแ​ ผ่นด​ ิน​
ของ​รัฐบาล ตั้งแต่ก​ าร​ตั้งก​ ระทู้ถ​ ามแ​ ละก​ ารย​ ื่น​ญัตติข​ อเ​ปิดอ​ ภิปราย​เพื่อล​ งม​ ติไ​ม่​ไว้ว​ างใจค​ ณะ​รัฐมนตรีเ​ป็น​
ราย​บุคคลห​ รือท​ ั้ง​คณะ ทั้งนี้ ห้าม​ข้าราชการ​ประจำ�​ดำ�รงต​ ำ�แหน่ง​สมาชิกร​ ัฐสภา​โดย​เด็ดข​ าด

       สถาบัน​บริหาร คือ คณะ​รัฐมนตรี ประกอบ​ด้วยน​ ายกร​ ัฐมนตรี 1 คน และร​ ัฐมนตรีอ​ ีก​ไม่เ​กิน 30 คน
โดย​นายก​รัฐมนตรีต​ ้อง​เป็น ส.ส. และร​ ัฐมนตรีอ​ ีก​ไม่​น้อยก​ ว่าก​ ึ่งห​ นึ่ง​ต้องเ​ป็น ส.ส. หรือ ส.ว. ประธานร​ ัฐสภา​
เป็นผ​ ูล้​ งน​ ามร​ ับส​ นองพ​ ระบรมร​ าชโองการแ​ ต่งต​ ั้งน​ ายกร​ ัฐมนตรี ห้ามข​ ้าราชการป​ ระจำ�​ดำ�รงต​ ำ�แหน่งร​ ัฐมนตร​ี
โดย​เด็ด​ขาด อำ�นาจ​หน้า​ที่​หลักๆ ของค​ ณะ​รัฐมนตรี คือ การ​บริหาร​ราชการแ​ ผ่นดิน โดยต​ ้องไ​ด้ร​ ับค​ วามไ​ว้​
วางใจ​จาก​สภา​ผู้​แทน​ราษฎร​ก่อน​เข้า​บริหาร​งาน​ด้วย​คะแนน​เสียง​ข้าง​มาก​ของ​สภา และ​ใน​การ​ถ่วง​ดุลอำ�นาจ​
กับส​ ภา คณะร​ ัฐมนตรี​ก็ส​ ามารถ​ขอใ​ห้​พระ​มหา​กษัตริย์ใ​ช้​พระร​ าชอ​ ำ�นาจย​ ุบส​ ภาผ​ ู้​แทน​ราษฎรไ​ด้

       สถาบันต​ ุลาการ นอกจาก​ศาลย​ ุติธรรมท​ ี่บ​ ัญญัติใ​ห้ม​ ีอ​ ิสระใ​นก​ ารพ​ ิจารณา​พิพากษา​อรรถค​ ดีท​ ั้งป​ วง​
แล้ว รัฐธรรมนูญ​ยัง​บัญญัติ​ให้​มี “คณะ​ตุลาการ​รัฐธรรมนูญ” จำ�นวน 9 คน ที่​ได้​รับ​พระบรม​ราชโองการ​
แต่ง​ตั้งโ​ดย​พระม​ หา​กษัตริย์แ​ ละ​จะ​ต้อง​ไม่​เป็น ส.ว. ส.ส. ข้าราชการ​ประจำ� และ​ไม่​สามารถด​ ำ�รง​ตำ�แหน่งใ​น​
รัฐว​ ิส​ า​หกิจ​ใดๆ ด้วย ทำ�​หน้าที่​วินิจฉัย​ชี้ขาด​ว่าก​ ฎห​ มายใ​ดๆ ที่ผ​ ่าน​สภา​ขัด​หรือแ​ ย้ง​กับร​ ัฐธรรมนูญห​ รือ​ไม่

       พรรคการเมือง มีบ​ ทบัญญัติใ​ห้ป​ ระชาชน​ทั่วไป​สามารถจ​ ัด​ตั้ง​ขึ้นไ​ด้ และต​ ่อม​ า​ก็ได้อ​ อก​ประกาศ​ใช้​
กฎหมาย​พรรคการเมือง ที่ถ​ ือ​เป็นก​ ฎหมายพ​ รรคการเมือง​ฉบับ​ที่ 3 ของไ​ทย ทำ�ให้​การ​จัด​ตั้ง​พรรคการเมือง​
มี​ลักษณะ​เป็น​ทางการ (ยกเว้น​พรรค​ที่​เคลื่อนไหว “ใต้ดิน” หรือ​ใน​เขต​ชนบท คือ พรรค​คอมมิวนิสต์​แห่ง​
ประเทศไทย หรือ พคท. ถือเ​ป็นพ​ รรคน​ อกก​ ฎหมาย) และใ​นท​ างป​ ฏิบัตกิ​ ม็​ ผี​ ูจ้​ ัดต​ ั้งพ​ รรคการเมืองข​ ึ้นป​ ระมาณ
50 พรรค ก่อน​ถึงก​ าร​เลือก​ตั้งท​ ั่วไป พ.ศ. 2518

       การ​เลือก​ตั้ง​ครั้งแ​ รก​ใน​รอบ 6–7 ปี ครั้งน​ ี้​ยัง​คงใ​ห้ก​ ระทรวง​มหาดไทย​ควบคุม และจ​ ัดการเ​ลือกต​ ั้ง
แต่​มี​ลักษณะ​เปิด​กว้าง​กว่า​ใน พ.ศ. 2512 และ​พรรคการเมือง​ต่างๆ ก็​มี​แนวทาง​ทางการ​เมือง หรือ​แม้แต่​
ลักษณะ​ของ​ความค​ ิด ความ​เชื่อ หรือ “อุดมการณ์ท​ างการ​เมือง” (political ideology) แตกต​ ่างก​ ัน โดยอ​ าจ​
แยก​ออก​เป็น 3 กลุ่มใ​หญ่ๆ คือ กลุ่ม​อนุรักษ์​นิยม (Conservative Parties) กลุ่มก​ ้าวหน้าส​ ังคมนิยม และ​
คอมมิวนิสต์ (Radical Parties) และ​กลุ่ม​สายก​ ลาง (Moderate Parties) และป​ รากฏ​ว่าม​ ีพ​ รรคการเมือง​
ในท​ ั้ง 3 กลุ่ม ได้​รับเ​ลือกต​ ั้งถ​ ึง 22 พรรค โดยส​ ่วนใ​หญ่อ​ ยู่ใ​นก​ ลุ่ม​อนุรักษ์​นิยม และ​กลุ่ม​สายก​ ลาง รัฐบาล 2
กลุ่มใ​หญ่ ที่​ตั้ง​ขึ้น​ภายใ​ต้​นายกร​ ัฐมนตรี 2 คน จึงไ​ม่ค​ ่อย​มั่นคง และม​ ี​การแ​ ย่ง​ชิง​อำ�นาจ​และผ​ ลป​ ระโยชน์​กัน​
อย่าง​รุนแรง ขณะท​ ี่​กลุ่มพ​ ลังท​ าง​สังคมต​ ่างๆ ทั้ง “ซ้าย” และ “ขวา” ก็พ​ ยายามก​ ดดัน​รัฐบาลอ​ ย่าง​หนัก จน​
เกิด​การย​ ุบ​สภา​และ​จัด​ให้​มี​การเ​ลือก​ตั้งท​ ั่วไปอ​ ีก​ครั้งใ​น​เดือนเ​มษายน พ.ศ. 2519 แต่ร​ ัฐบาล​ผสม​ก็​อ่อนแอ​
มาก​จน​กลุ่ม​พลัง​ทาง​สังคม​ต่างๆ เกิด​การ​เผชิญ​หน้า​กัน​อย่าง​รุนแรง และ​สุดท้าย​คณะ​ผู้นำ�​ทหาร​ก็​ใช้​กำ�ลัง​
ทหารแ​ ละ​อาวุธเ​ข้าย​ ึดอ​ ำ�นาจ​ใน​การ​รัฐประหารค​ รั้ง​รุนแรงว​ ันท​ ี่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2519
   63   64   65   66   67   68   69   70   71   72   73