Page 72 - การเมืองการปกครองไทย หน่วยที่ 5
P. 72
5-62 การเมืองการปกครองไทย
สถาบันพ ระม หากษัตริย์ มีบ ทบัญญัติเกี่ยวกับสถานะองค์พ ระป ระมุขข องชาติ และอ ื่นๆ ที่ยึดตาม
จารีตประเพณีเดิม รวมท ั้งก ารสืบสันตติว งศ์ ตามก ฎม ณเฑียรบาล พ.ศ. 2467 พระร าชอ ำ�นาจต ่างๆ รวมท ั้ง
พระราชอ ำ�นาจในเชิงจารีตป ระเพณี คือก ารแ ต่งต ั้งน ายกร ัฐมนตรี และส มาชิกวุฒิสภา
สถาบันร ัฐสภา ประกอบด ้วย วุฒิสภา กับส ภาผ ู้แทนร าษฎร และเป็น “ผู้แ ทนของปวงช นชาวไทย”
หน้าที่โดยทั่วไป คือ การตรากฎหมาย การอนุมัติพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายแผ่นดิน และอำ�นาจ
ควบคุมการบริหารราชการแผ่นดิน ในการป ระชุมรัฐสภา ประธานวุฒิสภาเป็นป ระธานรัฐสภา นายกรัฐมนตรี
เสนอร ายชื่อท ูลเกล้าฯ ถวายพระมหากษัตริย์เพื่อแ ต่งต ั้ง ส.ว. จากผู้ท ี่มีอายุ 35 ปีข ึ้นไป ไม่เป็นส มาชิกพ รรค
การเมืองใดๆ ทั้งหมดมีจ ำ�นวนไม่เกิน 3 ใน 4 ของจำ�นวน ส.ส. มีว าระ 6 ปี เมื่อครบ 6 ปี ก็ห มดวาระ และมี
การแ ตง่ ต ัง้ ใหมโ่ ดยอ ดีต ส.ว. สามารถไดร้ บั ก ารแ ตง่ ต ั้งใหมไ่ ด้ อำ�นาจห นา้ ทีว่ ฒุ ิสภาในช ว่ ง 4 ปแี รก “เทา่ เทียม
กับส ภาผู้แ ทนร าษฎร” ส่วนสภาผู้แ ทนราษฎร สมาชิกม าจ ากก ารเลือกตั้งโดยตรงข องประชาชน คิดส ัดส่วน
ประชากร 150,000 คน ต่อ ส.ส. 1 คน กำ�หนดให้ผู้สมัครต ้องส ังกัดพ รรคการเมือง และพรรคการเมืองที่มี
สิทธิ์แ ข่งขันในก ารเลือกต ั้งต ้องส ่งผ ู้ส มัครท ั้งหมดร วมก ันไม่น ้อยก ว่าก ึ่งห นึ่งข องจ ำ�นวน ส.ส. ทั้งหมด อำ�นาจ
หน้าท ีห่ ลักๆ คือก ารพ ิจารณาแ ละอ อกก ฎหมาย การค วบคุม ตรวจส อบก ารท ำ�งานข องค ณะร ัฐมนตรี ด้วยก าร
ตั้งก ระทู้ถ าม และข อเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อล งมติไม่ไว้วางใจคณะรัฐมนตรีเป็นรายบ ุคคลแ ละท ั้งคณะ
สถาบันบริหาร คือ คณะรัฐมนตรี ประกอบ ด้วยนายกรัฐมนตรี 1 คน และรัฐมนตรีอีกไม่เกิน
40 คน ประธานรัฐสภาลงนามรับสนองพระบรมราชโองการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรี ห้ามคณะรัฐมนตรีเป็น
ข้าราชการประจำ�ในเวลาเดียวกัน แต่ในบ ทเฉพาะกาลก็ได้ก ำ�หนดยกเว้นไว้ในช ่วง 4 ปีแรก ทำ�ให้ข้าราชการ
ประจำ�สามารถเข้าด ำ�รงต ำ�แหน่งทางการเมืองต ่างๆ ได้ รวมท ั้งคณะร ัฐมนตรี ก่อนเข้าบริหารร าชการแผ่นด ิน
ต้องแ ถลงน โยบายต ่อร ัฐสภาโดยไม่มีก ารล งม ติค วามไว้ว างใจ แต่ต ้องบ ริหารง านโดยร ับผ ิดช อบร ่วมก ันแ ละ
เฉพาะตนต ่อส ภาผู้แ ทนร าษฎร
สถาบันตุลาการ ยังคงเป็นระบบศาลเดียว คือ ศาลยุติธรรม และบัญญัติไว้ถึงความเป็นอิสระ
ของศาลและผู้พิพากษาในการพิจารณาพิพากษาอรรถคดีต่างๆ โดย “ต้องดำ�เนินการตามกฎหมายและใน
พระป รมาภิไธยพระมหากษัตริย์”
ส่วนอำ�นาจในการพิจารณาวินิจฉัยว่า กฎหมายใดขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญหรือไม่ รัฐธรรมนูญ
กำ�หนดให้ม ีค ณะตุลาการร ัฐธรรมนูญ จำ�นวน 7 คน เป็นฝ ่ายทำ�หน้าที่ มีป ระธานร ัฐสภาเป็นป ระธานต ุลาการ
รัฐธรรมนูญ
ในด้านพ รรคการเมือง มีบทบัญญัติให้ป ระชาชนสามารถจัดต ั้งพ รรคการเมืองได้ แต่ให้เป็นไปตาม
กรอบก ฎหมายพ รรคการเมอื งท ีจ่ ะม กี ารต ราข ึ้นในภ ายห ลัง ทั้งนี้ ผูส้ มัครร บั เลือกต ัง้ ต ้องส ังกดั พ รรคการเมือง
พรรคเดียว และพรรคการเมืองต้องส่งผู้สมัครเกินกว่ากึ่งหนึ่งของจำ�นวน ส.ส. ทั้งหมดในการเลือกตั้ง
ครั้งน ั้น ถ้าส ่งไดไ้มค่ รบก ใ็หย้ ุบพ รรคการเมืองน ั้นเสีย พรรคการเมืองต ้องส ่งผ ูส้ มัครในแ ต่ละเขตเลือกต ั้งเป็น
คณะและส ่งได้ค ณะเดียวในแ ต่ละเขต เมื่อส่งแ ล้วจะถ อนการส มัครม ิได้ นอกจากนั้น ยังก ำ�หนดให้ ส.ส. ที่
ถูกพรรคการเมืองท ี่สังกัดข ับออกจากสมาชิกพ รรคต้องพ้นจ ากส มาชิกภ าพ ส.ส. ด้วย และ ส.ส. จะเสนอร ่าง
กฎหมายได้เมื่อพ รรคท ี่ส ังกัดม ีม ติให้เสนอได้ และม ี ส.ส. ของพ รรคร ับรองไม่น ้อยก ว่า 20 คน ต่อม าใน พ.ศ.