Page 76 - การเมืองการปกครองไทย หน่วยที่ 5
P. 76
5-66 การเมืองการปกครองไทย
โดยจ ัดแ บ่งเขตเลือกตั้งเขตละไม่เกิน 3 คน หรือในทางปฏิบัติจะม ี ส.ส. เขตล ะ 1–3 คน ผู้มีส ิทธิ์เลือกตั้งท ี่
มีอายุ 20 ปีขึ้นไป สามารถล งค ะแนนได้ตามจำ�นวน ส.ส. ที่มีอยู่ในเขตนั้น
รัฐธรรมนูญได้บ ัญญัติเกี่ยวกับ “คณะต ุลาการร ัฐธรรมนูญ” จำ�นวน 10 คน มีประธานรัฐสภาเป็น
ประธาน มีอ ำ�นาจห น้าที่ว ินิจฉัยเกี่ยวกับก ฎหมายท ี่อ าจข ัดห รือแย้งก ับร ัฐธรรมนูญ และบ ทบัญญัติเกี่ยวก ับ
การปกครองท้องถ ิ่น แต่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงในหลักก ารสำ�คัญใดๆ ในแนวทางของการกระจ าย อำ�นาจ การ
ปกครองต นเองข องป ระชาชน
รัฐธรรมนูญได้บัญญัติ “บทเฉพาะกาล” ไว้ ตั้งแต่ม าตรา 212–223 เปิดท างให้สภานิติบัญญัติแห่ง
ชาติทำ�หน้าที่ต่อไปจนถึงว ันเลือกตั้ง ส.ส. คือวันที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2535 และค ณะร ัฐมนตรีช ุดเดิมก็บริหาร
งานต ่อไปจ นกว่าจ ะม คี ณะร ฐั มนตรชี ดุ ใหม่ และในก ารแ ต่งต ัง้ ส.ว. กใ็ หป้ ระธานส ภาร กั ษาค วามส งบเรยี บร้อย
แห่งชาติเป็นผู้เสนอชื่อ และให้ประกาศ คำ�สั่ง ของคณะ รสช. มีผลบังคับใช้ต่อไป การแก้ไขต้องตราเป็น
พระร าชบ ัญญัติ
กล่าวโดยสรุป โครงสร้าง และสถาบันทางการเมืองการปกครอง ตามรัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2534
(ฉบับถาวร) จึงมีลักษณะโน้มเอียงไปในทางกึ่งประชาธิปไตยคล้ายคลึงกับรัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2521 แต่มี
การเปลี่ยนแปลงสาระส ำ�คัญบางอ ย่าง แตกต ่างไปบ ้าง ที่สำ�คัญ คือ กำ�หนดจ ำ�นวน ส.ส. และ ส.ว. ไว้ต ายตัว
การเพิ่มจำ�นวนร ัฐมนตรีให้ม ากขึ้นก ว่าทุกฉบับก ่อนหน้านี้ คือ มีถ ึง 48 คน การปรับเปลี่ยนระบบเขตเลือก
ตั้งไปส ู่ “ระบบแบ่งเขตเรียงเบอร์” ส่วนก รณีข องพรรคการเมือง เจตนารมณ์ข องรัฐธรรมนูญฉ บับน ี้เป็นไป
ตามแนวทางร ัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2521 คือต ้องการให้พ รรค “ใหญ่โต” ขึ้น เพราะท ี่ผ่านม าม ีพรรคมากเกิน
ไปและเป็นพรรคเล็กๆ มี ส.ส. 1–10 คน บ้าง หรือ 20–30 คน บ้าง ดังก รณีช่วง พ.ศ. 2518–2519 หรือแม้แต่
ในการเลือกตั้งทั่วไป พ.ศ. 2522 ผลกระทบจากสาระสำ�คัญและเจตนารมณ์ด ังกล่าวนี้ จึงท ำ�ให้ “กลุ่มท ุน”
ได้เปรียบคนกลุ่มอื่นๆ ในการจัดตั้งพรรค การจัดส่งผู้สมัครรับเลือกตั้ง และการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง
และ “กลุ่มงาน” ต่างๆ เริ่มส นใจเข้ามามีส ่วนร ่วมทางการเมืองในล ักษณะน ี้ม ากข ึ้น จนส าระข องการเลือกต ั้ง
การจัดตั้งพรรคและดำ�เนินงานของพรรคโน้มเอียงไปเป็น “การเมืองเรื่องเงิน” (Money Politics) หรือ
“ธนาธิปไตย” (Plutocracy) มากข ึ้นต ามล ำ�ดับ และในท ี่สุดก ็น ำ�ไปส ู่ก ารเมืองเชิงว ิภาษ (Political Dialectic)
คือเกิด “เงินคืออ ำ�นาจ” ต่อสู้ (Anti-thesis) กับอ ำ�นาจค ือธรรม (Might is Right) หรืออ ำ�นาจป ืนข องฝ่าย
ทหาร (Thesis) ในภายห ลังอีก 10–15 ปีต่อม า
พลังทางสังคมแรกส ุดคือ “กลุ่มชนชั้นก ลาง” (Middle Classes) ในเขตเมืองหลวงและเมืองใหญ่
หลายจังหวัด ได้รวมพลังต่อต้านการสืบทอดอำ�นาจของผู้นำ�คณะรัฐประหารในเหตุการณ์ “พฤษภาทมิฬ”
จนในที่สุดก ็น ำ�ไปสู่การแก้ไขร ัฐธรรมนูญฉบับนี้ รวม 3 ครั้ง ใน พ.ศ. 2535 และอ ีกหลายค รั้งร ะหว่าง พ.ศ.
2536–2539 จนน ำ�มาสู่การเกิด “สภาร่างรัฐธรรมนูญ” ชุดใหม่ ใน พ.ศ. 2539–2540