Page 40 - ทฤษฎีและแนวปฏิบัติในการบริหารการศึกษา หน่วยที่ 2
P. 40
2-30 ทฤษฎีและแนวปฏิบัติในการบริหารการศึกษา
ขอ้ เสนอที่ 1 แรงกระตุน้ ส่วนใหญ่ส�ำ หรบั ความเปลีย่ นแปลงในองค์การมาจากภายนอกขององค์การ
ข้อเสนอที่ 2 ความมากน้อยและความคงทนของการเปลี่ยนแปลงเป็นสัดส่วนโดยตรงกับความเข้ม
ข้นของสิ่งเร้าจากระบบใหญ่ (supra-system)
ข้อเสนอที่ 3 ความเปลี่ยนแปลงในองค์การมีโอกาสเป็นไปได้มากกว่า ถ้าหากผู้เข้าสู่ต�ำ แหน่งบริหาร
สูงสุดมาจากภายนอกองค์การ
ข้อเสนอที่ 4 เมื่อมีความกดดันเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในระยะแรก ระบบจะตอบสนองอย่างเฉื่อยชา
ต่อมาจะตอบสนองเพื่อชดเชยอย่างเกินเหตุ ผลสุดท้ายก็ล่มสลายแบบจบสิ้น
ข้อเสนอที่ 5 จำ�นวนนวัตกรรมที่เกิดขึ้นเป็นสัดส่วนผกผันกับวาระการดำ�รงตำ�แหน่งของผู้บริหาร
สูงสุด
ข้อเสนอที่ 6 ยิ่งมีระดับการบังคับบัญชามากเพียงใดในองค์การ โอกาสการเปลี่ยนแปลงก็มีน้อย
เพียงนั้น
ข้อเสนอที่ 7 เมื่อมีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น มักจะเกิดขึ้นจากส่วนบนไปส่วนล่างมากกว่าส่วนล่าง
ขึ้นมาส่วนบน
ข้อเสนอที่ 8 ยิ่งระบบย่อยทำ�หน้าที่ในการปฏิสัมพันธ์ระหว่างกันได้ดีเพียงใด โอกาสการ
เปลี่ยนแปลงในองค์การก็มีน้อยเพียงนั้น
ข้อเสนอของกริฟฟิธส์มีความเป็นไปได้สูงมากสำ�หรับประยุกต์ใช้เพื่อส่งเสริมความเปลี่ยนแปลง
ในองค์การ ยกตัวอย่างเช่น ข้อเสนอที่ 3 ถ้าต้องการให้เกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้น การเลือกผู้บริหารเข้าสู่
ตำ�แหน่งจะต้องพิจารณาบุคคลจากภายนอกหน่วยงาน อาจารย์ใหญ่ที่มาจากโรงเรียนอื่นมีโอกาสสร้างความ
เปลี่ยนแปลงสูงกว่าอาจารย์ใหญ่ที่เลือกจากบุคคลภายในโรงเรียน ข้อเสนอที่ห้ามีข้อเท็จจริงสนับสนุน เช่น
การบริหารมหาวิทยาลัย ผู้บริหารสูงสุดคือ อธิการบดีอยู่ในตำ�แหน่งโดยมีวาระที่กำ�หนดไว้ชัดเจน บาง
มหาวิทยาลัยกำ�หนดวาระไว้ 2 ปี บางแห่ง 3 ปีและบางแห่ง 4 ปี การกำ�หนดเช่นนี้น่าจะสอดคล้องกับข้อ
เสนอที่ 5 กลา่ วคอื ยิ่งผูบ้ ริหารสูงสดุ ด�ำ รงต�ำ แหน่งนาน โอกาสที่จะสร้างสรรค์น�ำ นวัตกรรมมาใชใ้ นระบบย่อย
มีน้อย เมื่อขาดความเปลี่ยนแปลง องค์การย่อมขาดความเจริญก้าวหน้า การกำ�หนดวาระการดำ�รงตำ�แหน่ง
ของผู้บริหารไว้ชัดเจน จึงเป็นสิ่งที่สมควรกระทำ� เพราะทำ�ให้สามารถเปลี่ยนแปลงผู้บริหารได้ แต่ในหน่วย
งานบางแห่ง วาระการดำ�รงตำ�แหน่งไม่ได้กำ�หนดไว้ ผู้บริหารอาจอยู่ในตำ�แหน่งเป็นระยะเวลา 10 ปี หรือ
20 ปี โอกาสแห่งความเปลี่ยนแปลงในองค์การเช่นนี้จึงมีน้อยมาก
3. การวเิ คราะหน์ โยบาย
ได้มีการนำ�ทฤษฎีระบบทั่วไปไปประยุกต์ใช้ในการวิเคราะห์นโยบายสาธารณะ (public policy)
แนวคิดหลักคือ นโยบายสาธารณะ เป็นผลผลิตของระบบการเมือง (Dyre, 1984: 40-41) จากการประยุกต์
ทฤษฎีระบบทั่วไป นโยบายสาธารณะสามารถมองได้ในลักษณะที่เป็นผลผลิต (output) ของระบบการเมือง
ตัวป้อน (input) ของระบบการเมืองมี 2 ประการ คือ 1) ความต้องการ และ 2) การสนับสนุน ความต้องการ
เกิดขึ้นเมื่อกลุ่มบุคคลเสนอข้อเรียกร้อง การสนับสนุนเกิดขึ้นเมื่อกลุ่มบุคคลปฏิบัติตามนโยบาย เช่น ไป