Page 74 - ทฤษฎีและแนวปฏิบัติในการบริหารการศึกษา หน่วยที่ 2
P. 74
2-64 ทฤษฎีและแนวปฏิบัติในการบริหารการศึกษา
การคิดเชิงระบบ คือสติสัมปชัญญะที่จะทำ�ให้มองเห็นความเชื่อมโยงอย่างลึกซึ้งของสรรพสิ่ง ซึ่ง
ทำ�ให้ระบบที่มีชีวิตทั้งหลายมีลักษณะแปลกแตกต่างกัน (เซงกี หน้า 69)
คำ�สำ�คัญในนิยามที่ยกมานี้ก็คือ ความเชื่อมโยงอย่างลึกซึ้ง (the subtle interconnectedness)
ของสรรพสิ่งที่ประกอบกันเป็นระบบอย่างมีลักษณะแปลกแตกต่างไปจากระบบอื่น ยกตัวอย่างเช่น ร่างกาย
มนุษย์ก็มีหลายระบบ เช่น ระบบผิวหนัง ระบบกระดูก ระบบกล้ามเนื้อ ระบบทางเดินอาหาร ระบบหายใจ
ระบบประสาท เป็นต้น ความสัมพันธ์กันอย่างสลับซับซ้อนของระบบเหล่านี้รวมกัน ทำ�ให้ร่างกายของมนุษย์
ทำ�งานอย่างเป็นระบบ และมีประสิทธิภาพอย่างที่เห็นกัน การเข้าใจความสัมพันธ์ที่สลับซับซ้อนของระบบ
จึงเป็นเรื่องที่สำ�คัญมากสำ�หรับผู้ที่ต้องการเปลี่ยนแปลงระบบ หรือแม้กระทั่งรักษาสภาพเดิมของระบบ อีก
ความคิดหนึ่งที่มีความสำ�คัญ ก็คือ
การคดิ เชงิ ระบบ คอื วนิ ยั อยา่ งหนึง่ ทีจ่ ะท�ำ ใหม้ องเหน็ โครงสรา้ งซึง่ เปน็ พืน้ ฐานส�ำ คญั ของสถานการณ์
ที่สลับซับซ้อน และทำ�ให้เห็นคานงัดแห่งความเปลี่ยนแปลงที่มีประสิทธิภาพสูงจากที่มีประสิทธิภาพตํ่า
คำ�สำ�คัญในนิยามนี้ คือคำ�ว่าโครงสร้าง (structure) (เซงกี 1990: 69) ซึ่งเป็นพื้นฐานสำ�คัญที่จะ
ทำ�ให้เข้าใจเหตุการณ์ที่สลับซับซ้อน เมื่อมีเหตุการณ์เกิดขึ้น เราจะมองเฉพาะแต่เหตุการณ์อย่างเดียวไม่ได้
จะต้องมองระบบให้ครบทุกระดับ ที่สำ�คัญมีอยู่ 3 ระดับ คือ
(1) ระดับโครงสร้าง
(2) ระดับแบบแผนพฤติกรรม และ
(3) ระดับเหตุการณ์
ยกตัวอย่างเช่น นักเรียน 2 กลุ่มยกพวกทำ�ร้ายกัน การทำ�ร้ายกันเป็นเหตุการณ์อย่างหนึ่งอาจจะ
เกิดบ่อยๆ หรือนานๆ ครั้ง แบบแผนของพฤติกรรมก็คือ เมื่อนักเรียนสองกลุ่มนี้พบกันก็จะยกพวกทำ�ร้าย
กัน แบบแผนนี้อาจจะมีมานานแล้ว หรืออาจจะเพิ่งเกิดขึ้น ในระดับโครงสร้างจะเกี่ยวกับนโยบายระดับสูง
ในการควบคุมดูแลและแก้ไขปัญหาเหล่านี้ อาจขาดโครงสร้างในการควบคุมดูแลหรือโครงสร้างในการแก้
ปัญหาร่วมกัน นักคิดเชิงระบบจะมองเหตุการณ์ทะลุโครงสร้าง และมองโครงสร้างลงไปถึงเหตุการณ์ แล้ว
พยายามหาคานงัดแห่งความเปลี่ยนแปลงที่มีประสิทธิภาพเพื่อการแก้ปัญหา วิธีการแก้ปัญหาจะต้องไม่ใช่
แบบกดปุม่ ถา่ ยภาพ (snapshot) เพยี งครัง้ เดยี ว แตจ่ ะตอ้ งเปน็ กระบวนการแหง่ ความเปลีย่ นแปลงทีต่ อ่ เนือ่ ง
3. ผลย้อนกลับ (feedback)
การคิดเชิงระบบให้แนวคิดเกี่ยวกับผลย้อนกลับ (feedback) แตกต่างจากทฤษฎีระบบทั่วไป กล่าว
คือผลย้อนกลับไม่ได้เป็นเส้นตรง แต่เป็นวงจรแตกต่างกันไปตามความซับซ้อนของระบบ ผลย้อนกลับมี 3
ประเภทคือ (1) ผลย้อนกลับแบบเสริมแรง (reinforcing feedback) (2) ผลย้อนกลับแบบสมดุล (balanc-
ing feedback) และ (3) ความล่าช้า (delays)
เราพบเห็นตัวอย่างของผลย้อนกลับทั้ง 3 ประเภทเสมอ ตัวอย่างเช่น ในการรับนักเรียนเข้าเรียน ถ้า
โรงเรียนมีชื่อเสียงมากก็จะมีผู้ต้องการเข้าเรียนมาก เมื่อมีผู้เรียนมาก โรงเรียนก็สามารถเก็บค่าเล่าเรียนได้
มาก มีทรัพยากรการเงินมากก็สามารถพัฒนาคุณภาพได้มาก โรงเรียนมีคุณภาพมากก็ทำ�ให้มีผู้ต้องการเข้า