Page 75 - ทฤษฎีและแนวปฏิบัติในการบริหารการศึกษา หน่วยที่ 2
P. 75
ทฤษฎีระบบ 2-65
เรียนมาก วงจรเช่นนี้เป็นวงจรเสริมแรงทางบวก ในทางลบก็เกิดขึ้นได้เช่นกัน เช่น ถ้ามีผู้เรียนน้อยก็พัฒนา
คุณภาพได้น้อย เป็นต้น วงจรสมดุลก็มีอยู่เช่นกัน เซงกี (Senge) จะยกเรื่องการปรับอุณหภูมิร่างกายเป็น
ตัวอย่างสำ�คัญ (Senge, 1990: 84) เราต้องปรับความสมดุลโดยการปรับเสื้อผ้าร้อนต้องใส่เสื้อผ้าบาง หนาว
ต้องใส่เสื้อผ้าหนา ในการบริหารการศึกษาเราก็พบเห็นเสมอ เช่น การรับนักเรียนตามโควตา ถ้ามีนักเรียน
มากเกินโควตาก็ต้องตัดออก ถ้ามีนักเรียนน้อยก็ต้องหาให้ครบ ผลย้อนกลับประเภทสุดท้ายก็เกิดขึ้นเป็น
ประจำ� เราทำ�อะไรจะมีความล่าช้าเสมอ ต้มนํ้าร้อนก็ต้องรอให้ร้อน เปิดเครื่องปรับอากาศก็ต้องรอให้เย็น
ผลย้อนกลับทั้ง 3 ประเภทนี้มีความสำ�คัญมากต่อการเข้าใจแม่แบบของระบบ (systems archetypes)
เพราะแม่แบบของระบบนั้นเกิดขึ้นจากการผสมผสานของผลย้อนกลับเหล่านี้
4. แม่แบบของระบบ (System arechetypes)
เซงกีได้ระบุแม่แบบของระบบไว้หลายประเภท แต่ที่สำ�คัญที่เซงกีให้รายละเอียดพร้อมยกตัวอย่าง
คือ แบบขีดจำ�กัดการเติบโต (limite to growth) แบบโยกประเด็นปัญหา (shifting the burden) และแบบ
เติบโตแต่ลงทุนไม่เพียงพอ (growth and underinvestment) แบบขีดจำ�กัดการเติบโตเป็นแม่แบบของ
ระบบประเภทหนึ่งที่เกิดจากวงจรสองวงจร คือวงจรแบบเสริมแรงและวงจรแบบสมดุล และมักจะมีความ
ล่าช้าเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย นักคิดเชิงระบบจะมองปัญหานี้ทั้งในระดับโครงสร้าง (strueture) และระดับแบบ
พฤติกรรม (pattern of behavior) แล้วก็พยายามมองหาคานงัด (leverage) และหลักการจัดการปัญหาที่
เกิดขึ้น
ในระดับโครงสร้างก็จะเห็นวงจรสองวงขัดแย้งกัน วงจรหนึ่งมีความเจริญเติบโต อีกวงจรหนึ่ง
พยายามรักษาความสมดุล วงจรสมดุลจะเป็นตัวถ่วง และเมื่อแรงถ่วงเกิดขึ้น ความเจริญเติบโตก็จะลดลง
หรือหยุดกับที่ ในระดับแบบพฤติกรรมนั้น ผู้บริหารอาจจะยังเน้นวงจรเสริมแรง คือยังต้องการการขยายตัว
อยู่ เช่น สถาบันการศึกษาอาจยังต้องการขยายจำ�นวนนักศึกษา จึงเพิ่มจำ�นวนนักศึกษา แต่ไม่เพิ่มห้องเรียน
ทำ�ให้ห้องเรียนแออัด การเรียนการสอนไม่มีคุณภาพ
ในปัญหาที่กล่าวมานี้ ผู้บริหารต้องหาคานงวัดแห่งความเปลี่ยนแปลง เซงกีให้แนวคิดว่า คานงัดไม่
ได้อยู่ที่วงจรเสริมแรง แต่อยู่ที่วงจรสมดุล จะต้องสร้างความสมดุลโดยขจัดปัจจัยที่เป็นขีดจำ�กัด (Senge,
1990: 101) หลักการจัดการก็คือ อย่าผลักดันการเติบโตเกินไป ต้องขจัดปัจจัยที่เป็นข้อจำ�กัดก่อน
แมแ่ บบประเภทโยกประเดน็ ปญั หากเ็ ปน็ อกี แมแ่ บบหนึง่ ทีน่ า่ สนใจ ในวงการศกึ ษาและการแกป้ ญั หา
โดยทัว่ ไปจะพบเหน็ แมแ่ บบนีบ้ อ่ ย แมแ่ บบนีเ้ กดิ จากวงจรสมดลุ สองวงทีพ่ ยายามจะแกป้ ญั หาเดยี วกนั วงหนึง่
พยายามแก้ปัญหาตามอาการ (symptomatic soulution) อีกวงหนึ่งพยายามแก้ปัญหาตามมูลเหตุ (funda-
mental solution) โดยทั่วไปคนเราก็มักจะแก้ปัญหาเฉพาะหน้าก่อนส่วนมากจะละเลยการแก้ปัญหาระยะ
ยาว คานงดั ความเปลีย่ นแปลงจงึ อยูท่ ีก่ ารเสรมิ วงจรสมดลุ ทีเ่ ปน็ การแกป้ ญั หาระยะยาว (Senge, 1990: 113)
แม่แบบสุดท้ายคือ ประเภทเจริญเติบโตแต่ลงทุนไม่เพียงพอ แม่แบบประเภทนี้เกิดจากวงจรสาม
วงเป็นวงจรเสริมแรงวงหนึ่ง และวงจรสมดุลสองวง ลักษณะเช่นนี้คือ โครงสร้างสำ�คัญของแม่แบบวงจร
เสริมแรงสร้างความเจริญเติบโต แต่วงจรสมดุลมีลักษณะเป็นแบบแม่แบบโยกประเด็นปัญหา คือวงหนึ่ง