Page 22 - การวิจัยการบริหารการศึกษา หน่วยที่ 1
P. 22

1-12 การวิจัยการบริหารการศึกษา

หนังสือ ทฤษฎีการบริหาร (Administrative Theory) (Griffiths. 1959) งานวิจัยที่สำ�คัญเป็นงานที่ทำ�ร่วม
กับเฮมฟิลล์ (Hemphill) และเฟรเดอริคเสน (Frederiksen) ชื่อ สมรรถภาพในการบริหารและบุคลิกภาพ
(Administrative Performance and Personality) วิธีการวิจัยเป็นแบบการศึกษาปัญหาในตะกร้า
(in–basket study) คือ ศึกษาแฟ้มสั่งการของผู้บริหาร นักวิจัยทั้งสามคนนี้ตระหนักดีว่า ในสมัยนั้น มีความ
ขาดแคลนทางวิชาการบริหารการศึกษาอยู่สองอย่าง คือ 1) มีทฤษฎีการบริหารการศึกษาไม่เพียงพอ สำ�หรับ
เป็นแนวทางในการทำ�วิจัย และ 2) ขาดข้อมูลที่ถูกต้องเกี่ยวกับการบริหาร ด้วยเหตุผลดังกล่าว นักวิจัยจึง
ออกแบบการวิจัยให้มีการสังเกตพฤติกรรมผู้บริหาร และพยายามศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างพฤติกรรม
ผู้บริหารกับตัวแปรต่าง ๆ จึงเห็นได้ว่า การใช้เทคนิคการศึกษาปัญหาในตะกร้าแสดงถึงความเชื่อในทฤษฎี
ของนักวิจัย กริฟฟิธส์เห็นว่าการบริหารการศึกษาคือการตัดสินใจ เฮมฟิลล์เชื่อในทฤษฎีการแก้ปัญหา
(Hemphill, Griffiths, & Frederiksen. 1962) จึงอาจกล่าวได้ว่า การวิจัยเรื่องสมรรถภาพในการบริหาร
และบุคลิกภาพได้รับอิทธิพลแนวคิดทั้งสองทฤษฎีดังกล่าว และได้รับอิทธิพลจากปรัชญาปฏิฐานนิยมเชิง
ตรรกะเช่นเดียวกับการวิจัยเรื่องอื่นในสมัยนี้

เร่ืองท่ี 1.1.4 	การวิจัยการบริหารการศึกษายุคหลังการเคลื่อนไหว
          ทางทฤษฎี

       การวิจัยยุคนี้ (ค.ศ. 1975-ปัจจุบัน) มีความแตกต่างจากยุคการเคลื่อนไหวทางทฤษฎี เหตุผล
อย่างหนึ่งก็คือ ในยุคนี้นักวิชาการมองเห็นข้อบกพร่องของการวิจัยยุคการเคลื่อนไหวทางทฤษฎีจึงพยายาม
เสาะแสวงหาปรัชญาความรู้และกรอบการวิจัยใหม่ ๆ

       ในยุคการเคลื่อนไหวทางทฤษฎี นักวิชาการเน้นข้อเท็จจริงและเหตุผลทางวิทยาศาสตร์ พยายาม
แยกสภาพที่เป็นอยู่ (is) จากสภาพที่ควรจะเป็น (ought) นักวิจัยยุคนี้ถือว่าข้อเท็จจริงเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นใน
สภาพที่เป็นอยู่ ไม่ใช่ในสภาพที่ควรจะเป็น การวิจัยเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับข้อเท็จจริง นักวิจัยจึงต้องศึกษา
สภาพที่เป็นอยู่ ไม่ใช่สภาพที่ควรจะเป็น การยึดถือเช่นนี้ทำ�ให้นักวิจัยละเลยการศึกษาสภาพที่ควรจะเป็น
จึงมีนักวิชาการกลุ่มหนึ่งที่เห็นว่าการยึดถือเช่นนี้ไม่ถูกต้อง เพราะการศึกษาเกี่ยวข้องทั้งสภาพที่เป็นอยู่และ
สภาพที่ควรจะเป็น หากละเลยสภาพที่ควรจะเป็นแล้ว การกำ�หนดนโยบายทางการศึกษาก็ทำ�ไม่ได้เพราะการ
ก�ำ หนดนโยบายเปน็ เรือ่ งทีเ่ กีย่ วกบั สภาพทีค่ วรจะเปน็ ดงั นัน้ นกั วชิ าการกลุม่ นีจ้ งึ หนั ไปศกึ ษานโยบายและใช้
นโยบายเป็นแนวทางในการวิจัย การวิจัยเชิงนโยบาย (policy–oriented research) จึงเกิดขึ้น (Coleman.
   17   18   19   20   21   22   23   24   25   26   27