Page 23 - การวิจัยการบริหารการศึกษา หน่วยที่ 1
P. 23

แนวคิดเกี่ยวกับการวิจัยการบริหารการศึกษา 1-13

1972) ซึ่งแตกต่างจากการวิจัยเชิงทฤษฎี (theory–oriented research) ที่เน้นกันในยุคการเคลื่อนไหวทาง
ทฤษฎี

       ในยุคการเคลื่อนไหวทางทฤษฎี กรอบแนวคิดในการวิจัยมักจะเป็นกรอบทางจิตวิทยาและ
สังคมวิทยา ในยุคหลังการเคลื่อนไหวทางทฤษฎี กรอบแนวคิดมาจากสังคมศาสตร์หลายสาขาที่สำ�คัญ เช่น
เศรษฐศาสตร์การศึกษา (economics of education) และรัฐศาสตร์การศึกษา (politics of education)
กรอบแนวคิดทางมานุษยวิทยาก็เริ่มได้รับความสนใจในยุคนี้ งานวิจัยที่สำ�คัญคือผลงานของวอลคอทท์
เรื่อง ผู้อยู่ในตำ�แหน่งผู้บริหารสถานศึกษา: การศึกษาทางชาติพันธุ์วรรณนา (The Man in the Principal’s
Office: An Ethnography) (Wolcott. 1973) งานวิจัยเรื่องนี้มีลักษณะแตกต่างจากการวิจัยยุคการ
เคลื่อนไหวทางทฤษฎีคือเป็นการศึกษาในเชิงคุณภาพแทนที่จะใช้กลุ่มตัวอย่างเป็นจำ�นวนมาก ผู้วิจัยศึกษา
ผู้บริหารสถานศึกษาเพียงคนเดียว การวิจัยเรื่องนี้ไม่มีจุดมุ่งหมายที่จะทดสอบสมมติฐาน หรือประเมิน
บทบาทของผู้บริหารสถานศึกษา แต่มุ่งที่จะอธิบายหรือพรรณนาว่าผู้บริหารสถานศึกษาทำ�อะไร

       จุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงเกี่ยวกับแนวคิดของทฤษฎีและการวิจัยเกิดขึ้นใน ค.ศ. 1974 เมื่อ
มีการประชุมระหว่างชาติ (The International Intervisitation Programme — IIP) ที่เมืองบริสตอล
(Bristol) ประเทศอังกฤษ ในการประชุมครั้งนี้นักวิชาการคนหนึ่งได้เสนอบทความวิพากษ์วิจารณ์ทฤษฎียุค
การเคลื่อนไหวทางทฤษฎีอย่างรุนแรง นักวิชาการคนนี้คือ กรีนฟิลด์ (Greenfield) กรีนฟิลด์ได้โจมตีนัก
ทฤษฎียุคก่อน ๆ เช่น ฮอลพิน, เกทเซลส์, กริฟฟิธส์, ไซมอน และมาร์ช (Griffiths. 1988: 30) ข้อวิพากษ์
วิจารณ์ที่สำ�คัญของกรีนฟิลด์ คือ นักทฤษฎีดังกล่าวแยกคุณค่า (value) ออกจากข้อเท็จจริง (facts) การ
แยกเชน่ นีท้ �ำ ใหก้ ารมององคก์ ารเปน็ เสมอื นเครือ่ งจกั ร ท�ำ ใหท้ ฤษฎไี รส้ าระและเปน็ ประโยชนต์ อ่ ผูบ้ รหิ ารนอ้ ย
มาก เพราะข้อเทจ็ จรงิ กบั คณุ คา่ แยกออกจากกนั ไมไ่ ดโ้ ดยเฉพาะในเรือ่ งของการศึกษา กรีนฟลิ ดโ์ จมตีทฤษฎี
ระบบสังคมที่เสนอโดย เกทเซลส์–กูบาว่าไร้ประโยชน์ โดยเฉพาะการยึดถือว่าบทบาทนั้นมีอยู่ตามธรรมชาติ
โดยไม่ต้องสงสัย ตามความเห็นของกรีนฟิลด์ไม่มีองค์การอยู่ในโลก มีแต่ปัจเจกชน (individual) เท่านั้น

       ขอ้ คดิ เหน็ ของกรนี ฟลิ ดม์ อี ทิ ธพิ ลตอ่ แนวคดิ เกีย่ วกบั การบรหิ ารการศกึ ษามาก แนวคดิ ของเขากลาย
เป็นตัวแบบการบริหารแบบอัตวิสัย (Subjective model) (Bush. 1986: 93-98) กริฟฟิธส์ซึ่งเป็นนักทฤษฎี
กลุม่ ปฏฐิ านนยิ มเชงิ ตรรกะกเ็ ปลีย่ นแปลงความคดิ จากแนวเดมิ ซึง่ แตเ่ ดมิ กรฟิ ฟธิ สเ์ ชือ่ ในตวั แบบการบรหิ าร
ที่เป็นเหตุเป็นผล (Rational model) ต่อมาระยะหลังได้ให้ความสนใจตัวแบบที่ไม่มีเหตุผลและขาดระบบ
ระเบียบ ดังจะเห็นได้จากข้อเขียนเกี่ยวกับทฤษฎีใหม่ของเขาคือทฤษฎีเชิงความยุ่งเหยิง (Chaotic theory)
(Griffiths, Hart, & Blair. 1971: 430-451)

       กล่าวได้ว่าในยุคหลังการเคลื่อนไหวทางทฤษฎี มีแนวคิดเกี่ยวกับการวิจัยค่อนข้างหลากหลาย ที่
สำ�คัญมีดังนี้ 1) การวิจัยตามแนวคิดเดิม 2) การวิจัยตามแนวคิดปรากฏการณ์นิยม และ 3) การวิจัยตาม
แนวคิดของทฤษฎีวิพากษ์ โดยแต่ละแนวสรุปได้ดังนี้

       1. 	การวิจัยตามแนวคิดเดิม การวิจัยตามแนวคิดเดิมเป็นการวิจัยที่ยึดปรัชญาปฏิฐานนิยมเชิง
ตรรกะซึ่งเน้นกันมากในยุคการเคลื่อนไหวทางทฤษฎี งานวิจัยจำ�นวนมากจัดอยู่ในกลุ่มนี้ ดังจะได้ศึกษา
ในตอนที่ 1.2 ซิลเวอร์ (Silver) ได้รวบรวมงานวิจัยจำ�นวนมากภายใต้ทฤษฎีสำ�คัญ 12 ทฤษฎี ฮอยและ
   18   19   20   21   22   23   24   25   26   27   28