Page 20 - การวิจัยเพื่อพัฒนาการศึกษานอกระบบ และการศึกษาตามอัธยาศัย หน่วยที่ 10
P. 20

10-10 การวิจัยเพื่อพัฒนาการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย

เร่ือง​ท่ี 10.1.1	 แนวคดิ พ​ ้ืนฐ​ านแ​ ละล​ ักษณะส​ ำ�คัญข​ อง​การ​วจิ ยั ​
		เชิงท​ ดลอง

แนวคดิ พ​ ้นื ฐ​ านด​ ้านก​ ระบวนท​ ัศน์

       แนวทาง​หรือ​กระบวน​ทัศน์​ใน​การ​แสวงหา​ความ​รู้ ความ​จริง​ของ​นัก​วิจัย​มา​จาก 2 แนวทาง​หลัก
ได้แก่ แนวคิดป​ รากฏการณ์ว​ ิทยา (phenomenology) และแ​ นวคิด​ปฏิฐ​ านนิยม (positivism) โดย​แนวคิด​
ปรากฏการณ์​วิทยา เป็น​ศาสตร์​หรือ​วิธี​การ​ที่​เกี่ยวข้อง​กับ​การ​ค้นหา​ความ​จริง​ที่​เน้น​การ​ทำ�ความ​เข้าใจ​
ปรากฏการณ์​หรือ​พฤติกรรม​ของม​ นุษย์ท​ ี่เ​กิด​ขึ้นใ​น​ชุมชน สังคมอ​ ย่าง​ละเอียด ลุ่ม​ลึกแ​ ละช​ ัดเจน โดย​อาศัย​
กระบวนการ​ตีความ​หรือ​การ​แปล​ความ​หมาย​โดย​นัย​แห่ง​การก​ระ​ทำ�​และ​เจตนา​ภาย​ใต้​บริบท​ทาง​ด้าน​เวลา
สถาน​ที่ ค่าน​ ิยม​และ​วัฒนธรรม​ที่แ​ วดล้อมป​ รากฏ​กา​รณ์​นั้นๆ ใน​ขณะ​ที่แ​ นวคิด​ปฏิฐ​ านนิยม เป็น​แนวคิด​เชื่อ​
ว่าค​ วามร​ ู้ ความจ​ ริงท​ ี่แทจ้​ ริงน​ ั้นส​ ามารถเ​ข้าถ​ ึงไ​ดอ้​ ย่างถ​ ูกต​ ้องแ​ ม่นยำ�​และเ​ชื่อถ​ ือไ​ด้ ด้วยว​ ิธกี​ ารจ​ ัดก​ ระทำ�​ทาง​
วิทยาศาสตร์ (องอาจ นัย​พัฒน์ 2549: 4-8)

       การ​วิจัย​เชิง​ทดลอง​จึงถ​ ือไ​ด้​ว่าก​ ำ�เนิด​มา​จากแ​ นวคิด​ปฏิฐ​ านนิยม (positivism) ซึ่งน​ ักการศ​ ึกษาท​ ั้ง​
หลาย​ใน​สมัย​คริสต์​ศตวรรษ​ที่ 19 ถือว่า ความ​รู้​หรือ​ความ​จริง​เป็น​สิ่ง​ที่​มี​อยู่​เป็น​หนึ่ง​เดียว หรือ​สรรพ​สิ่ง​ทั้ง​
หลายใ​นโ​ลกน​ ีเ้​ป็นไ​ปต​ ามก​ ฎท​ ีแ่​ น่นอนต​ ายตัว ความร​ ู้ ความจ​ ริงท​ ีถ่​ ูกค​ ้นพ​ บจ​ ะต​ ้องผ​ ่านก​ ารพ​ ิสูจนแ์​ ละจ​ ัดเ​ป็น​
ระบบ มีค​ ุณสมบัติเ​ป็น​สากล สามารถ​ใช้ได้ท​ ั่วไป ไม่​ถูกจ​ ำ�กัดด​ ้วย​เวลาแ​ ละ​บริบท ดัง​นั้น ความจ​ ริงใ​น​เรื่องใ​ด​
เรื่องห​ นึ่งจ​ ึงม​ เี​พียงส​ ิ่งเ​ดียว นำ�​มาส​ ูก่​ ารพ​ ัฒนาร​ ะเบียบว​ ิธกี​ ารว​ ิจัยเ​ชิงป​ ริมาณซ​ ึ่งเ​ป็นแ​ นวคิดท​ ีไ่​ดร้​ ับค​ วามน​ ิยม​
ใน​สาย​วิทยาศาสตร์​อย่างย​ ิ่ง (Brull, G & Morgan, G., 1979)

       กรอบป​ รัชญาท​ ีอ่​ ยูเ่​บื้องห​ ลังข​ องก​ ารว​ ิจัยเ​ชิงท​ ดลอง ไดร้​ ับอ​ ิทธิพลจ​ ากแ​ นวคิดป​ ฏฐิ​ านนิยม เนื่องจาก​
ยึดถือ​แนวค​ วามค​ ิดท​ ี่​ว่า​องค์ค​ วาม​รู้ท​ ี่ส​ ามารถ​สังเกต วัดผล (measurement) ซึ่ง​ก็ค​ ือ การว​ ัดค​ ่า​ของ​ตัวแปร​
อัน​เป็น​ผล​ที่​สังเกต​ได้​จาก​การ​ทดลอง และ​การ​วิเคราะห์ (analysis) โดย​ใช้​เครื่อง​มือ (instrument) และ​
ระเบียบ​วิธี​ทาง​คณิตศาสตร์ห​ รือ​สถิติ เพื่อ​หา​คำ�​ตอบ​หรือ​เพื่อ​ตอบ​คำ�ถาม​การ​วิจัย​ภาย​ใต้​หลัก​ความ​เชื่อ​ที่​ว่า
ความจ​ ริงม​ เี​พียงห​ นึ่งเ​ดียวเ​ท่านั้น การว​ ิจัยเ​ชิงท​ ดลองใ​นก​ ารศ​ ึกษาน​ อกร​ ะบบแ​ ละก​ ารศ​ ึกษาต​ ามอ​ ัธยาศัย ส่วน​
ใหญ่​เป็นการว​ ิจัย​เชิงป​ ริมาณ (quantitative research)

       การ​วิจัย​เชิง​ปริมาณ เป็น​วิธี​การ​หาความ​รู้ ความ​จริง​อย่าง​เป็น​ระบบ​โดย​ใช้​วิธี​การ​นิรนัย (deduc-
tive method) คือก​ ารนำ�​ความร​ ู้ท​ ี่​มี​อยู่แ​ ล้วไ​ด้​มา​จากก​ ารค​ ้นคว้า ตั้ง​สมมติฐาน (hypothesis) เพื่อ​นำ�​ความ​
รู้ท​ ี่​ได้ม​ าน​ ั้นไ​ป​พิสูจน์ โดย​มีก​ าร​เก็บ​รวบรวม​ข้อมูลใ​น​สนาม ซึ่งข​ ้อมูล (data) ที่​ต้องการน​ ั้น​เป็นการ​เก็บจ​ าก​
เครื่อง​มือว​ ิจัย เช่น แบบสอบถาม (questionnaire) ข้อมูล​ที่​ได้​มักเ​ป็นต​ ัวเลข​หรือป​ ริมาณ นำ�​มาว​ ิเคราะห์ห​ า​
วิธี​การท​ าง​สถิติ​เพื่อต​ อบ​สมมติฐานท​ ี่​ตั้งข​ ึ้น หรือส​ นับสนุน​สมมติฐาน การต​ ัดสินอ​ าศัย​ปริมาณห​ รือ​ค่าตัวเ​ลข​
เป็นห​ ลัก วิธี​การ​หาความ​รู้​ด้วยก​ าร​วิจัยเ​ชิงป​ ริมาณ นี้​จึง​เป็นท​ ี่​นิยมแ​ พร่​หลายก​ ัน​มาก เพราะส​ ามารถท​ ี่​จะ​ได้​
   15   16   17   18   19   20   21   22   23   24   25