Page 26 - สารัตถะและวิทยวิธีทางภาษาอังกฤษ
P. 26
7-16 สารัตถะและวิทยวิธีทางภาษาอังกฤษ
เร่ืองท ่ี 7.2.1 ทฤษฎีการเรียนร ้กู ลุ่มพฤติกรรมน ยิ ม (Behaviorism)
ทฤษฎกี ารเรยี นร กู้ ลุม่ พ ฤตกิ รรมน ยิ มเปน็ ท ฤษฎที มี่ พี ืน้ ฐ านม าจ ากท ฤษฎที างจ ติ วทิ ยา เนน้ ก าร
เรียนรู้ที่เกิดขึ้นโดยอาศัยความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งเร้า (Stimulus) และการตอบสนอง (Response)
โดยอ ินทรีย์จ ะต ้องส ร้างค วามส ัมพันธ์ร ะหว่างส ิ่งเร้าแ ละก ารต อบส นองอ ันน ำ�ไปส ู่ค วามส ามารถในก าร
แสดงพ ฤตกิ รรม คอื การเรยี นร นู้ ัน่ เอง กลุม่ พ ฤตกิ รรมน ยิ มใหค้ วามส �ำ คญั ก บั พ ฤตกิ รรมม าก เพราะเปน็
สิ่งท ี่ส ังเกตเห็นได้ และสามารถว ัดและท ดสอบได้ ผู้นำ�ที่ส ำ�คัญของก ลุ่มพ ฤติกรรมน ิยม คือ เอ็ดเวิร์ด
ลี ธอ ร์นไดค์ (Edward Lee Thorndike) อีวาน เปโตรวิช พาฟ ลอฟ (Ivan Petrovich Pavlov) และ
บี. เอฟ. สกินเนอร ์ (B.F. Skinner) ซึ่งได้ให้กำ�เนิดทฤษฎีการเรียนรู้ที่เป็นที่ย อมรับกันแ พร่หลาย ดังนี้
1. ทฤษฎกี ารเช่ือมโยงของธอร์นไ ดค์ (Thorndike’s Connection Theory) ธอร์นไดค์ซึ่งเป็น
นักจิตวิทยาช าวอเมริกัน (ค.ศ. 1814-1949) เชื่อว่าการเรียนรู้เกิดจากการท ี่ผ ู้เรียนสามารถสร้างค วาม
สัมพันธ์และการเชื่อมโยงระหว่างส ิ่งเร้า (Stimulus – S) กับก ารตอบสนอง (Response – R) โดยก าร
ตอบส นองท ี่ออกม าจะเป็นร ูปแบบต่างๆ ในลักษณะก ารล องถ ูกล องผิด (Trial and Error) จนกว่าจ ะ
พบร ูปแ บบท ี่เหมาะสมที่สุด เมื่อเกิดการเรียนร ู้ขึ้นแ ล้ว การตอบสนอ งหลายๆ รูปแบบจ ะหายไปเหลือ
แต่ท ี่ให้ผ ลพึงพอใจมากท ี่สุดร ูปแบบเดียว และพยายามใช้ร ูปแบบนั้นเชื่อมโยงกับสิ่งเร้าท ี่ต้องการให้
เรียนร ู้ต ่อไปเรื่อยๆ กฎก ารเรียนรู้ข องธอ ร์นไดค์ส รุปได้ด ังนี้
1.1 กฎแห่งความพร้อม (Law of Readiness) ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งเร้ากับการ
ตอบส นองทำ�ให้เกิดการเรียนร ู้ ความพ ร้อมทั้งร ่างกายแ ละจ ิตใจจะท ำ�ให้ผู้เรียนเกิดการเรียนร ู้ได้ด ี
1.2 กฎแ หง่ ก ารฝ กึ หดั (Law of Exercise) ความส ัมพันธร์ ะหว่างส ิ่งเร้าก ับก ารต อบส นอง
จะแ น่นแฟ้นข ึ้นเมื่อม ีก ารฝ ึกหัดห รือท ำ�ซํ้าบ่อยๆ แต่จ ะค ลายล งห ากไม่ได้ฝ ึกหัดห รือท ำ�ซํ้าบ ่อยๆ หรือ
กล่าวอ ีกอ ย่างห นึ่งก ็ค ือ การฝ ึกหัดห รือก ารท ำ�ซํ้าบ่อยๆ ด้วยความเข้าใจจ ะท ำ�ใหก้ ารเรียนร ูค้ งทนถ าวร
แต่ห ากไม่ได้กระทำ�ซํ้าบ ่อยๆ การเรียนร ู้นั้นจะไม่คงทนถ าวรและในท ี่สุดอาจล ืมได้
1.3 กฎแหง่ ก ารใช้ (Law of Use and Disuse) การส ร้างความส ัมพันธ์ร ะหว่างสิ่งเร้าก ับ
การตอบสนองทำ�ให้เกิดการเรียนรู้ ความคงทนของการเรียนรู้จะเกิดขึ้นหากได้มีการนำ�ไปใช้บ่อยๆ
แต่ห ากไม่มีก ารนำ�ไปใช้ อาจม ีก ารล ืมเกิดขึ้นได้
1.4 กฎแห่งผลที่พึงพอใจ (Law of Effect) เมื่อการเชื่อมโยงระหว่างสิ่งเร้ากับการ
ตอบส นองน �ำ ความพ งึ พ อใจม าให้ ความส ัมพนั ธน์ จี้ ะแ น่นแฟ้นข ึ้น แตห่ ากก ารเชือ่ มโยงน ำ�ความร �ำ คาญ
ใจมาให้ ความส ัมพันธน์ ีจ้ ะค ลายล ง หรืออ าจจ ะก ล่าวได้ว ่า เมื่อผ ูเ้รียนไดร้ ับผ ลท ี่พ ึงพ อใจย ่อมอ ยากที่
จะเรียนร ู้ต ่อไป แต่ห ากได้ร ับผ ลท ี่ไม่พ ึงพ อใจ จะไม่อ ยากเรียนร ู้ ดังน ั้นก ารได้ร ับผ ลท ี่พ ึงพ อใจจึงเป็น
ปัจจัยสำ�คัญในก ารเรียนรู้